รีวิวอัลบั้ม Joji - Smithereens การจมปลักอยู่กับเศษซากแห่งความรู้สึก
หากใครติดตามฟังเพลงของ Joji ศิลปินลูกครึ่งญี่ปุ่น-ออสเตรเลียแห่งค่ายเพลง 88rising ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเขา ‘ไม่เคยให้สัมภาษณ์เลย’ แตกต่างจากศิลปินทั่วไปที่มักจะให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจต่างๆ ในช่วงโปรโมทอัลบั้ม จึงเป็นที่ทราบกันดีว่า Joji ค่อนข้างหวงแหนความเป็นส่วนตัว แต่นั่นก็ทำให้การรอคอยฟังอัลบั้มใหม่ของเขากลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ
‘Smithereens’ (2022) อัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ของ Joji ที่เพิ่งปล่อยทั้ง 9 บทเพลงให้ฟังกันแบบเต็มๆ หลังจากห่างหายไป 2 ปีนับจากอัลบั้มชุดก่อนหน้าอย่าง ‘Nectar’ (2020) ที่มีเพลงดัง “Sanctuary” รวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อของ Joji กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากแฟนๆ ชาวไทยมากขึ้น รวมทั้งทำให้คอนเสิร์ตเดี่ยวของ Joji เป็นหนึ่งในโชว์ที่เชื่อว่าหลายคนอยากดูมากที่สุด
สำหรับอัลบั้ม 'Smithereens' (2022) ยังคงรักษาลายเซ็นดนตรีแนว Lo-Fi ผสมอาร์แอนด์บีตามสไตล์ของ Joji อย่างชัดเจน ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ ให้เซอร์ไพรส์ แต่จุดแข็งที่สร้างตัวตนทางดนตรีให้เขายังคงอยู่ครบเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เนื้อหาเพลงที่สะท้อนตัวตนความเป็น sad boy และบีทในแต่ละเพลงที่เลือกจังหวะปล่อยได้เข้ากับฟีลเพลง ซึ่งช่วยเสริมท่อนคอรัสให้แข็งแรงขึ้นอย่างมาก
ซิงเกิลแรกของอัลบั้มนี้คือ “Glimpse of Us” เป็นเพลงบัลลาดที่ Joji ร่วมเขียนเนื้อเพลง เขาถ่ายทอดอารมณ์เศร้าคลอไปกับเปียโนได้น่าประทับใจ ทำให้เพลงนี้ทำสถิติบนชาร์ตเพลงสูงที่สุดนับตั้งแต่ Joji เดบิวต์ โดยสามารถติด Top 10 ของ US Billboard Hot 100 และถือเป็นศิลปินเชื้อสายญี่ปุ่นคนที่สองในรอบ 59 ปี ที่สามารถส่งซิงเกิลไปครองแชมป์อันดับ 1 ในออสเตรเลียได้ นับตั้งแต่ศิลปินตำนานอย่าง Kyu Sakamoto เจ้าของเพลง “Sukiyaki” เคยทำสถิติไว้ในปี 1963 รวมถึงทะยานสู่อันดับ 1 ในอีกหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
เมื่อเราลองไล่ฟังเพลงในอัลบั้ม ‘Smithereens’ (2022) เรียงลำดับทีละแทร็ก จะพบว่า Joji ได้แบ่งเพลงออกเป็น 2 พาร์ทด้วยกัน พาร์ทแรกประกอบด้วย 5 บทเพลงที่แม้ดนตรีไม่ได้ซับซ้อน แต่กลับเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่สัมผัสใจคนฟังได้ดีมากๆ ธีมหลักก็ยังพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระยะสุดท้ายที่ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบ การหวนรำลึกถึงความทรงจำที่เคยหอมหวาน ซึ่งได้กลายเป็นอดีตที่แสนเศร้าไปแล้ว เปรียบเสมือนตัวแทนของคนไม่มูฟออน หรือคนที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แม้รู้ว่าจะยื้อต่อไปแทบไม่ไหวแล้วก็ตาม
ความน่าสนใจของพาร์ทแรกอยู่ที่เนื้อเพลงและจังหวะบีทคอรัสที่ปล่อยมาฮุกคนฟังได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายและติดหูได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่ “Feeling Like the End” ที่เรียกความสนใจได้ตั้งแต่ท่อนอินโทร “Too many, too many things we did together...” พูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้จะจบลงด้วยความยาวไม่ถึง 2 นาที แต่ทำหน้าที่เป็นตัวเรื่องที่จะนำไปสู่การเล่าเรื่องราวมู้ดเศร้าในลำดับถัดไป ตามมาด้วย “Die For You” ยกให้เป็นอีกเพลงที่สะท้อนตัวตนความเป็น sad boy ของ Joji ซึ่งขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งบทเพลงฮิตของอัลบั้มนี้
สำหรับอีกเพลงที่น่าสนใจคือ “Dissolve” ร้องคลอไปกับเสียงกีตาร์โปร่ง โดยมีการเปรียบเทียบจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ว่าไม่ต่างอะไรกับตัวตนที่เริ่ม ‘ละลาย’ หายจากกันไป หรือแม้แต่บทเพลง “Before The Day Is Over” ซึ่งรวมอยู่ในพาร์ทแรกจะมีเนื้อหาในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับความหมายชื่ออัลบั้ม ‘Smithereens’ (2022) ที่รวมเรื่องเล่าการสิ้นสุดของความสัมพันธ์อันแตกสลาย และเศษซากชิ้นส่วนเล็กๆ ของความทรงจำที่ประกอบร่างขึ้นราวกับ ‘ความเศร้าถาวร’ ที่คอยตามหลอกหลอนไม่ไปไหน
ในส่วนของพาร์ทหลังประกอบด้วย 4 บทเพลงที่มีความแตกต่างจากพาร์ทแรกโดยสิ้นเชิง เนื้อหาไม่ได้เป็นธีมเดียวกัน แต่ค่อนข้างมีความอิสระ สัมผัสได้ถึงดนตรีและเนื้อหาเพลงที่ตามใจตัวเองของ Joji อย่างที่เคยเป็นมา เพราะหลายบทเพลงในพาร์ทหลัง Joji ร่วมเขียนเนื้อเพลงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะ “Night Rider” ที่ Joji โปรดิวซ์ด้วยตัวเอง มีการตีความว่าเนื้อหาเพลงพูดในเรื่องทางเพศ ความต้องการค้นหาความตื่นเต้นเร้าใจในแบบที่คนรักไม่สามารถมอบให้ได้
ตามมาด้วย “Yukon” (Interlude) ก็สะท้อนการสูญเสียตัวตน ความรู้สึกไร้จุดหมาย การวนลูปและความขัดแย้งในตัวเอง รวมถึงวิถีขบถในแบบของเขา ซึ่งถูกเลือกให้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้มที่ปล่อยให้ฟังกัน ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยแทร็กสุดท้ายอย่าง “1AM Freestyle” ราวกับ end credit ท้ายเรื่องภาพยนตร์ ที่สรุปทุกเรื่องราวความสัมพันธ์ผ่านการนิยามในมุมมอง Joji ไม่ว่าจะหลบซ่อนตัวเองอย่างไร แต่สุดท้ายการเอาใจลงไปวนลูปในความสัมพันธ์ ก็เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่กลัว ‘ความโดดเดี่ยว’ เสียยิ่งกว่าอะไร
แม้ว่าเนื้อหาโดยรวมของอัลบั้มยังคงพร่ำเพ้ออยู่กับเรื่องราวของความสัมพันธ์และการไม่ยอมมูฟออนไปข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้บทเพลงแนว Lo-Fi ในสไตล์ของ Joji เต็มไปด้วยเสน่ห์และครองใจคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ก็เพราะเขากล้าที่จะเปิดเผยความอ่อนแอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และทำให้บทเพลงเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ตบบ่าใครหลายๆ คนในวันที่ไม่เป็นดั่งใจได้
คะแนน: 4.5/5
รีวิวโดย: Tati