เสพย์สากล
News Column Interview Review Songs

รีวิวอัลบั้ม Joji - Smithereens การจมปลักอยู่กับเศษซากแห่งความรู้สึก

4 พ.ย. 2022 (3 เดือนที่แล้ว)

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนของคุณ

หากใครติดตามฟังเพลงของ Joji ศิลปินลูกครึ่งญี่ปุ่น-ออสเตรเลียแห่งค่ายเพลง 88rising ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเขา ‘ไม่เคยให้สัมภาษณ์เลย’ แตกต่างจากศิลปินทั่วไปที่มักจะให้สัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลใจต่างๆ ในช่วงโปรโมทอัลบั้ม จึงเป็นที่ทราบกันดีว่า Joji ค่อนข้างหวงแหนความเป็นส่วนตัว แต่นั่นก็ทำให้การรอคอยฟังอัลบั้มใหม่ของเขากลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ 

‘Smithereens’ (2022) อัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ของ Joji ที่เพิ่งปล่อยทั้ง 9 บทเพลงให้ฟังกันแบบเต็มๆ หลังจากห่างหายไป 2 ปีนับจากอัลบั้มชุดก่อนหน้าอย่าง ‘Nectar’ (2020) ที่มีเพลงดัง “Sanctuary” รวมอยู่ด้วย ทำให้ชื่อของ Joji กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากแฟนๆ ชาวไทยมากขึ้น รวมทั้งทำให้คอนเสิร์ตเดี่ยวของ Joji เป็นหนึ่งในโชว์ที่เชื่อว่าหลายคนอยากดูมากที่สุด 

สำหรับอัลบั้ม 'Smithereens' (2022) ยังคงรักษาลายเซ็นดนตรีแนว Lo-Fi ผสมอาร์แอนด์บีตามสไตล์ของ Joji อย่างชัดเจน ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ ให้เซอร์ไพรส์ แต่จุดแข็งที่สร้างตัวตนทางดนตรีให้เขายังคงอยู่ครบเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เนื้อหาเพลงที่สะท้อนตัวตนความเป็น sad boy และบีทในแต่ละเพลงที่เลือกจังหวะปล่อยได้เข้ากับฟีลเพลง ซึ่งช่วยเสริมท่อนคอรัสให้แข็งแรงขึ้นอย่างมาก 

ซิงเกิลแรกของอัลบั้มนี้คือ “Glimpse of Us” เป็นเพลงบัลลาดที่ Joji ร่วมเขียนเนื้อเพลง เขาถ่ายทอดอารมณ์เศร้าคลอไปกับเปียโนได้น่าประทับใจ ทำให้เพลงนี้ทำสถิติบนชาร์ตเพลงสูงที่สุดนับตั้งแต่ Joji เดบิวต์ โดยสามารถติด Top 10 ของ US Billboard Hot 100 และถือเป็นศิลปินเชื้อสายญี่ปุ่นคนที่สองในรอบ 59 ปี ที่สามารถส่งซิงเกิลไปครองแชมป์อันดับ 1 ในออสเตรเลียได้ นับตั้งแต่ศิลปินตำนานอย่าง Kyu Sakamoto เจ้าของเพลง “Sukiyaki” เคยทำสถิติไว้ในปี 1963 รวมถึงทะยานสู่อันดับ 1 ในอีกหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย  

เมื่อเราลองไล่ฟังเพลงในอัลบั้ม ‘Smithereens’ (2022) เรียงลำดับทีละแทร็ก จะพบว่า Joji ได้แบ่งเพลงออกเป็น 2 พาร์ทด้วยกัน พาร์ทแรกประกอบด้วย 5 บทเพลงที่แม้ดนตรีไม่ได้ซับซ้อน แต่กลับเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่สัมผัสใจคนฟังได้ดีมากๆ ธีมหลักก็ยังพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระยะสุดท้ายที่ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบ การหวนรำลึกถึงความทรงจำที่เคยหอมหวาน ซึ่งได้กลายเป็นอดีตที่แสนเศร้าไปแล้ว เปรียบเสมือนตัวแทนของคนไม่มูฟออน หรือคนที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แม้รู้ว่าจะยื้อต่อไปแทบไม่ไหวแล้วก็ตาม  

ความน่าสนใจของพาร์ทแรกอยู่ที่เนื้อเพลงและจังหวะบีทคอรัสที่ปล่อยมาฮุกคนฟังได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายและติดหูได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่ “Feeling Like the End” ที่เรียกความสนใจได้ตั้งแต่ท่อนอินโทร “Too many, too many things we did together...” พูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้จะจบลงด้วยความยาวไม่ถึง 2 นาที แต่ทำหน้าที่เป็นตัวเรื่องที่จะนำไปสู่การเล่าเรื่องราวมู้ดเศร้าในลำดับถัดไป ตามมาด้วย “Die For You” ยกให้เป็นอีกเพลงที่สะท้อนตัวตนความเป็น sad boy ของ Joji ซึ่งขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งบทเพลงฮิตของอัลบั้มนี้ 

สำหรับอีกเพลงที่น่าสนใจคือ “Dissolve” ร้องคลอไปกับเสียงกีตาร์โปร่ง โดยมีการเปรียบเทียบจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ว่าไม่ต่างอะไรกับตัวตนที่เริ่ม ‘ละลาย’ หายจากกันไป หรือแม้แต่บทเพลง “Before The Day Is Over” ซึ่งรวมอยู่ในพาร์ทแรกจะมีเนื้อหาในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับความหมายชื่ออัลบั้ม ‘Smithereens’ (2022) ที่รวมเรื่องเล่าการสิ้นสุดของความสัมพันธ์อันแตกสลาย และเศษซากชิ้นส่วนเล็กๆ ของความทรงจำที่ประกอบร่างขึ้นราวกับ ‘ความเศร้าถาวร’ ที่คอยตามหลอกหลอนไม่ไปไหน 

ในส่วนของพาร์ทหลังประกอบด้วย 4 บทเพลงที่มีความแตกต่างจากพาร์ทแรกโดยสิ้นเชิง เนื้อหาไม่ได้เป็นธีมเดียวกัน แต่ค่อนข้างมีความอิสระ สัมผัสได้ถึงดนตรีและเนื้อหาเพลงที่ตามใจตัวเองของ Joji อย่างที่เคยเป็นมา เพราะหลายบทเพลงในพาร์ทหลัง Joji ร่วมเขียนเนื้อเพลงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะ “Night Rider” ที่ Joji โปรดิวซ์ด้วยตัวเอง มีการตีความว่าเนื้อหาเพลงพูดในเรื่องทางเพศ ความต้องการค้นหาความตื่นเต้นเร้าใจในแบบที่คนรักไม่สามารถมอบให้ได้  

ตามมาด้วย “Yukon” (Interlude) ก็สะท้อนการสูญเสียตัวตน ความรู้สึกไร้จุดหมาย การวนลูปและความขัดแย้งในตัวเอง รวมถึงวิถีขบถในแบบของเขา ซึ่งถูกเลือกให้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้มที่ปล่อยให้ฟังกัน ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยแทร็กสุดท้ายอย่าง “1AM Freestyle” ราวกับ end credit ท้ายเรื่องภาพยนตร์ ที่สรุปทุกเรื่องราวความสัมพันธ์ผ่านการนิยามในมุมมอง Joji ไม่ว่าจะหลบซ่อนตัวเองอย่างไร แต่สุดท้ายการเอาใจลงไปวนลูปในความสัมพันธ์ ก็เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่กลัว ‘ความโดดเดี่ยว’ เสียยิ่งกว่าอะไร 

แม้ว่าเนื้อหาโดยรวมของอัลบั้มยังคงพร่ำเพ้ออยู่กับเรื่องราวของความสัมพันธ์และการไม่ยอมมูฟออนไปข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้บทเพลงแนว Lo-Fi ในสไตล์ของ Joji เต็มไปด้วยเสน่ห์และครองใจคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ก็เพราะเขากล้าที่จะเปิดเผยความอ่อนแอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และทำให้บทเพลงเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ตบบ่าใครหลายๆ คนในวันที่ไม่เป็นดั่งใจได้ 

คะแนน: 4.5/5 
รีวิวโดย: Tati

#REVIEW #JOJI

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนของคุณ

Recommended

Flower.far ศิลปินไทยคนล่าสุดที่ได้ออกแชนเนล COLORS วงซูเปอร์กรุ๊ปเจร็อก THE LAST ROCKSTARS ปล่อยมิวสิกวีดีโอเปิดตัว "THE LAST ROCKSTARS (Paris Mix)" xooos คัฟเวอร์เพลง "OMG" ของ NewJeans The National ประกาศอัลบั้มใหม่ First Two Pages of Frankenstein พร้อมปล่อยเพลง "Tropic Morning News" Fall Out Boy ปล่อยเอ็มวี "Love From The Other Side" พร้อมประกาศอัลบั้มใหม่ So Much (For) Stardust

Follow us on

  •  Facebook
  •  Twitter
  •  Instagram
  •  Youtube

ติดต่อเรา

  •  sepsakon@gmail.com

เสพย์สากล

Music in whatever