สัมภาษณ์ : Patrick Stump อุ่นเครื่องก่อนชมคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยของ Fall Out Boy
Fall Out Boy ถือเป็นวงที่มีฐานแฟนเพลงในไทยเหนียวแน่น ชื่อของพวกเขาเริ่มถูกพูดถึงจากอัลบั้ม From Under the Cork Tree (2005) ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกยุคอัลบั้ม Infinity on High (2007) ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ด เปิดยุคสมัยของตัวเองได้อย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะวงป็อปพังก์ที่น่าจับตามองที่สุด
ถัดมาในยุคหลัง Fall Out Boy คัมแบ็กอย่างยิ่งใหญ่จากอัลบั้ม Save Rock and Roll (2013) ที่ทำให้เห็นถึงวิวัฒนาการของวงที่ไม่หยุดนิ่ง ถึงเพลงเก่าๆ จะโด่งดังในกลุ่มคนฟังเพลงร็อก แต่ถ้าพูดถึงเพลงฮิตที่ทำให้คนฟังในวงกว้างตกหลุมรัก ต้องยกให้ "Centuries" ด้วยเนื้อเพลงและทำนองที่ชวนฮึกเหิม เพลงนี้จึงถูกใช้เป็นซาวด์แทร็กประกอบกีฬาระดับโลก และเป็นหนึ่งในเพลงของ Fall Out Boy ที่ต้องไปฟังสดๆ ในคอนเสิร์ตเท่านั้น
นับถอยหลังอีกไม่กี่สัปดาห์ สำหรับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยของ Fall Out Boy ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคม ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เสพย์สากลได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Patrick Stump นักร้องนำ Fall Out Boy ถึงคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย ซีนเพลงร็อกในปัจจุบัน รวมถึงการกลับมาร่วมงานในรอบ 15 ปี กับ Neal Avron ในอัลบั้มล่าสุด So Much (for) Stardust
คุณรู้สึกอย่างไรที่จะได้มาเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยครับ ก่อนหน้านี้ผมทำเพลงให้กับหนังเรื่อง Changeland (2019) ที่มาถ่ายทำในไทย พวกทีมงานบอกว่าไทยเป็นประเทศที่สนุกมากๆ แต่ในฐานะคนทำเพลง ผมเป็นคนสุดท้ายที่เขานึกถึง เลยอดไป (หัวเราะ)
ผมได้ชมฟุตเทจที่ทีมงานส่งมาให้ ประเทศไทยมีแต่ทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเล แต่เป้าหมายของผมน่าจะเป็นอาหารไทยครับ ชอบมากๆ เลย โดยเฉพาะผัดไทย หรือลาบ ไปถึงไทยผมจะไปลองให้หมดเลย
ช่วยพูดถึง Neal Avron โปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับวงยุคอัลบั้ม From Under the Cork Tree (2005), Infinity on High by (2007), Folie à Deux (2008) ที่กลับมาร่วมงานกับ Fall Out Boy อีกครั้งในอัลบั้มล่าสุด So Much (for) Stardust
จริงๆ ผมติดต่อกับนีลมาตลอดครับ แต่ถ้าเราจะทำอัลบั้มด้วยกัน มีเงื่อนไขว่านีลต้องอยากทำ ส่วนวงก็ต้องอยากทำด้วยกัน การร่วมงานครั้งนี้มันจังหวะทุกอย่างมันลงตัว แต่จริงๆ แล้วผมนี่แหละเป็นคนขอร้องทั้งสองฝั่งให้ทำงานด้วยกัน (หัวเราะ) และพอเรากลับมาร่วมงานกันจริงๆ มันเหมือนกับเราย้อนเวลากลับไปเลยครับ บรรยากาศทุกอย่างเหมือนเดิม นีลก็ยังเป็นนีลคนเดิม ผลลัพธ์คือพวกเราสนุกกันมากๆ ครับ
แน่นอนว่าปัจจุบันพวกเรามีอายุกันมากขึ้น ก็หวังว่าจะฉลาดขึ้นด้วยมั้งนะ ผมว่าการทำงานอัลบั้มนี้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม เถียงกันน้อยลง ซึ่งความที่ทุกคนโตขึ้นมันมีส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมอัลบั้ม So Much (for) Stardust เกิดขึ้นมาด้วย ถึงหลายคนอาจบอกว่างานชุดนี้เหมือนอัลบั้มทำให้นึกถึงพวกเรายุคก่อน แต่จริงๆ ผมว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยครับ
Fall Out Boy เป็นวงที่มีอัลบั้มมากมาย เพลงฮิตก็เพียบ พวกคุณมีอุปสรรคในการเรียงเซ็ทลิสต์เพลงสำหรับคอนเสิร์ตตัวเองไหม
ผมว่าสนุกครับ เราเคยใส่เซ็ทลิสต์เน้นแต่เพลงที่แฟนๆ อยากฟัง แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเบื่อ ผมว่าแฟนเพลงก็เริ่มเดาทางออก แต่ในทัวร์ล่าสุดพวกเราอยากลองอะไรใหม่ๆ เพราะตอนเราทัวร์อังกฤษ วงต้องเล่นเวนิวเดิมหลายคืน พอเปลี่ยนบ้างก็ออกมาสนุกมากๆ ครับ ไม่แน่นะครับในคอนเสิร์ตที่ไทย เราก็อาจจะมีเซ็ทลิสต์สำหรับประเทศไทยเลย เพราะนี่เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกด้วย ผมรู้พวกคุณรอคอยกันมานาน อยากฟังเพลงอะไรกันล่ะ?
ไฟ (Pyro) เป็นอีกไฮไลท์ในคอนเสิร์ต Fall Out Boy ที่ทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ เช่น การพ่นไฟจากเบส ใครเป็นคนต้นคิดไอเดียนี้
มาจากพีท (Pete Wentz) ครับ ส่วนใหญ่เรื่องไอเดียความคิดสร้างสรรค์มาจากเขาเยอะมาก ส่วนผมจะรับผิดชอบเรื่องการทำเพลงและอัลบั้ม พีทมักจะมีไอเดียแปลกๆ อย่างเช่นให้ผมลอยตัวบนแท่นที่โคตรสูง ทำเอาผมกลัวมากๆ แต่เรื่องไฟผมชอบครับ ในฐานะศิลปินบนเวที เรารู้จังหวะว่าไฟหรือเอฟเฟกต์มาตอนไหน ซึ่งคนดูส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ ผมว่ามันสนุกเวลาได้เห็นแฟนเพลงเซอร์ไพรส์กับโชว์ของพวกเราด้วยครับ
คุณว่าดนตรีร็อกในปัจจุบันกับดนตรีร็อกในสมัยที่พวกคุณเริ่มทำวง มีความแตกต่างกันอย่างไร
หากเทียบกับสมัยก่อน ผมก็เห็นถึงความแตกต่างนะ เราเริ่มต้นจากวงที่เล่นใต้ดิน พยายามเล่นโชว์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถทำเพลงเองได้ ใส่ลงในโซเชียลแพล็ตฟอร์มอย่าง TikTok และขยายฐานแฟนเพลงได้มากกว่าเดิม ผมมองว่าน่าสนใจมากๆ
ช่วงนี้หลายคนอยากให้ผมลองทำโชว์แบบใต้ดินเหมือนสมัยก่อน ซึ่งมันดูพิเศษมากๆ ในยุคนี้ แต่สมัยก่อนมันไม่ได้พิเศษเลยครับ (หัวเราะ) เราก็แค่วัยรุ่นรวมตัวเล่นดนตรีเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายแล้วแก่นของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ คุณทำเพลง ออกไปเล่นโชว์ เพียงแต่วิธีการจะแตกต่างกัน
ผมมองว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการรีเทิร์นทั้ง Fall Out Boy และวงอย่าง blink-182 ออกอัลบั้มใหม่ในปีเดียวกัน นี่มันเป็นความฝันของชาวร็อกและป็อปพังก์เลยครับ
เอาจริงๆ เวลาผ่านมันผ่านไปไวมากเลยนะครับ ผมก็เพิ่งรู้สึกว่าวงเรามีอายุเกินกว่า 20 ปีแล้ว ผมจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง เราเล่นโชว์กับ Foo Fighters ในมิวสิกเฟสติวัลหนึ่ง พวกเขาเป็นวงร็อกที่รุ่นใหญ่ที่สุดสำหรับผม ตอนผมดูโชว์พวกเขา ผมทึ่งและประทับใจมากๆ แต่เวลาผมเห็นวิธีการทำงานของทีมพวกเขา จริงๆ วิธีการทำงานก็เหมือนกับพวกเราเลย ผมไม่ได้บอกว่าวงเราระดับเดียวกัน ที่ผมจะสื่อคือเราเริ่มเข้าใจกระบวนการทำงานมากขึ้น อาจเป็นเพราะเราอยู่ในวงการมานานระดับหนึ่งนั่นเอง
สิ้นสุดการรอคอย Fall Out Boy จะมาแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 6 ธันวาคม 2023 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ซื้อบัตรได้แล้วทาง https://www.ticketmelon.com/viji/falloutboy