จากโซลสู่เจริญกรุง: พูดคุยกับ Dabda วงไฮไลต์ของงาน Bangkok Music City 2025
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ได้มีอีเวนต์ดนตรีใหญ่ Bangkok Music City 2025 ที่จัดขึ้น ณ ย่านสร้างสรรค์เจริญกรุง ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง Live Nation Tero, ฟังใจ และ NYLON Thailand
สำหรับแฟนเพลง งานนี้เปรียบเสมือนมิวสิกเฟสติวัลที่ได้ชมการแสดงของศิลปินทั้งหน้าใหม่และศิลปินชื่อดัง บนเวทีกว่า 5 เวทีที่กระจายอยู่ทั่วย่านเจริญกรุง โดยหนึ่งในวงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ Dabda ที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีหลัก
Dabda เป็นวงดนตรีจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วย Seunghyun Lee, Jiae Kim, Lee Joseph, และ Noh Keohyeon พวกเขาได้รับอิทธิพลจากดนตรี Math Rock โครงสร้างดนตรีของ Dabda เต็มไปด้วยเสียงที่สร้างสรรค์จากกีตาร์ เบส กลอง และมีการสลับจังหวะอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเสียงร้องของ Jiae ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพลงของ Dabda มีเสน่ห์น่าค้นหา
เสพย์สากลมีโอกาสได้สัมภาษณ์วง Dabda เกี่ยวกับการมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยถึง 2 โชว์ ได้แก่ Bangkok Music City และ Blueprint Livehouse รวมถึงความประทับใจที่มีต่อศิลปินไทย และเพลงของพวกเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศไทย
รู้สึกอย่างไรที่ได้รับเชิญให้มาแสดงที่ Bangkok Music City
Seunghyeon: ส่วนตัวผมชอบฤดูร้อนมาก เพลงของเราหลายเพลงมีความรู้สึกแบบฤดูร้อน ผมคิดว่า Bangkok Music City น่าจะเข้ากับพลังงานของพวกเราได้ดี อย่างเพลง “Flower Tail” ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางไปประเทศไทยของจีแอ
Jiae: ใช่ค่ะ ไทยเป็นประเทศเขตร้อนประเทศแรกที่ฉันได้เดินทางไปเที่ยว ฉันไปตามเกาะต่างๆ กับเพื่อนๆ รวมถึงทางตอนใต้ของไทย นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมักคิดถึงไทยในช่วงฤดูหนาวของเกาหลี อย่างที่ซึงฮยอนบอก “Flower Tail” ถูกแต่งขึ้นจากความทรงจำในทริปนั้น การได้มาแสดงเพลงนี้ในประเทศไทยเป็นโมเมนต์ที่มีความหมายกับฉันมากๆ
ช่วยเล่าเพิ่มเติมถึงเพลง ‘'Flower Tail” เพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากประเทศไทยให้ฟังหน่อย
Jiae: เพลงนี้เสร็จสมบูรณ์หลังจากไปเยือนเกาะหลีเป๊ะ เดโมแรกมีวลีภาษาเกาหลี ซึ่งแปลคร่าวๆ ได้ว่า 'การล่องเรือที่ร้องไห้อย่างเศร้าโศก' หลังจากการเดินทาง ฉันได้แรงบันดาลใจจากการนั่งเรือไปดำน้ำตื้นและใบหน้าและการแสดงออกของคนขับเรือ ซึ่งช่วยให้ฉันเขียนเนื้อเพลงได้สำเร็จ
กลับมาที่การแสดงที่ Bangkok Music City 2025 เสียงตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างไรบ้าง
Seunghyeon: ผมประหลาดใจที่มีแฟนๆ ของ Dabda ในประเทศไทยด้วย บางคนถือแผ่นเสียงของพวกเรามาด้วย ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ส่วนผู้ชมก็ให้ความสนใจกับโชว์ของพวกเรา มันกระตุ้นให้เราแสดงได้ดียิ่งขึ้น การจัดเวที แสงไฟ ทำให้เรารู้สึกว่าทีมงานเข้าใจดนตรีของเราจริงๆ
Jiae: ฉันได้ยินมาว่าบริเวณเวทีหลักเป็นอาคารไปรษณีย์ของกรุงเทพฯ ระหว่างการแสดง ฉันสังเกตเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ที่มีพวงมาลัยดอกไม้กำลังแกว่งไปมาตามลม รู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์ขณะขึ้นแสดงเลยค่ะ
แล้วมีวงไหนในงาน Bangkok Music City ที่คุณชื่นชอบบ้างไหม
Seunghyeon: Slot Machine! ผมรู้จักชื่อเสียงของพวกเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูโชว์ และผมดูพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ประทับใจมากๆ ครับ แล้วผมบังเอิญได้ยินเพลงของ เรนิษรา ที่ร้านอาหาร ทุกวันนี้ผมยังฟังเพลงของพวกเขาอยู่เลย
Keohyeon: ส่วนผมชอบ DOOR PLANT เมื่อผมฟังอัลบั้มของพวกเขา ผมนึกถึงสไตล์เพลง Surf Rock และ Jangle Pop แต่การแสดงสดของพวกเขานั้นเข้มข้นและมีพลังมาก น่าประทับใจมากครับ
Jiae: ส่วนฉันชอบไลน์กีต้าร์ของวง Solitude Is Bliss มากๆ ค่ะ
หลังจากนั้น พวกคุณได้ขึ้นแสดงที่ Blueprint Livehouse บรรยากาศคืนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
Keohyeon: เรารู้สึกดีมากที่ได้สัมผัสบรรยากาศของไลฟ์เฮาส์ท้องถิ่น ถ้าเทียบกับ Bangkok Music City แล้ว ผมว่าโชว์นี้รู้สึกใกล้ชิดและเป็นกันเองกับผู้ชมมากกว่าครับ
Seunghyeon: ที่นี่ไม่เหมือนไลฟ์เฮาส์ส่วนใหญ่ในเกาหลี ซึ่งมักจะอยู่ใต้ดิน แต่ Blueprint Livehouse อยู่บนชั้นสอง บรรยากาศทีความสดชื่นกว่า ผมเห็นแฟนๆ หลายคนจาก Bangkok Music City ก็มาดูโชว์นี้ด้วย ซึ่งมีส่วนช่วยให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นครับ
ชื่อวงพวกคุณทำให้นึกถึง ‘ทฤษฎีห้าขั้นตอนของความเศร้า’ (Denial, Anger, Bargaining, Depression, Acceptance) ช่วยพูดถึงที่มาของชื่อวงหน่อย
Seunghyeon: ตอนที่พวกเราตั้งวง เราทำลิสต์อารมณ์ต่างๆ แล้วก็เลือกมาห้าอย่างที่พวกเรารู้สึก พอตัดสินใจเลือกชื่อนี้แล้ว เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเกี่ยวกับทฤษฎีห้าขั้นตอนของความเศร้า แต่จริงๆ ชื่อนี้ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับตัวตนของวงในตอนนี้เท่าไหร่ครับ
รสนิยมทางดนตรีของสมาชิกแต่ละคนใน Dabda เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
Keohyeon: ผมชอบดนตรีแนว Groove เช่น Funk, Jazz, R&B และ Soul แต่เมื่อเราเล่นด้วยกัน ผมรู้สึกได้ว่าทุกคนมีความเป็น groove ในสไตล์ของตัวเอง
Seunghyeon: ผมชอบ Math Rock และ Post Rock เมื่อเวลาแสดง แต่โดยทั่วไปแล้วผมชอบ Indie Pop และดนตรีที่สงบกว่า เรามีพลังงานที่คล้ายกันเมื่อต้องสร้างช่วงเวลาที่พลุ่งพล่านในดนตรีของเรา ดนตรีของ Dabda โดยทั่วไปมีความสดใส แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าโศกบางอย่าง ซึ่งสะท้อนความรู้สึกร่วมกันของพวกเรา
อัลบั้ม Yonder ของ Dabda ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Korean Music Awards ในสาขา Best Modern Rock Album ช่วยเล่าถึงเบื้องหลังอัลบั้มนี้ให้เราฟังหน่อย?
Seunghyeon: เราทำงานกับอัลบั้มนี้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ยาวนาน ผมรักธรรมชาติ ภูเขา ป่า ทะเล แต่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในสตูดิโอที่อยู่ใต้ดิน ตอนนั้นผมเปิดวิดีโอธรรมชาติความละเอียด 4K ขณะทำงาน เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า Yonder ผมจินตนาการถึงที่ไหนสักแห่งที่อยู่ 'เบื้องหน้า' ผมยังต้องการแสดงออกถึงความคับข้องใจและความรู้สึกถูกกักขัง ยกตัวอย่างเพลง “Playing with Fire” ที่ถ่ายทอดอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้อย่างชัดเจน
เราได้ยินมาว่าคุณจะปล่อยอัลบั้มเต็มใหม่ในปีนี้ ช่วยเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับอัลบั้มนี้ได้ไหม?
Seunghyeon: เรากำลังทดลองเสียงและวิธีการใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน สำหรับอัลบั้มนี้ เราต้องการนำเทคนิคและเสียงใหม่ๆ มาใช้อย่างจริงจัง ในขณะที่ถ่ายทอดพลังงานและอารมณ์ของเรา
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก Dabda พวกคุณอยากแนะนำเพลงไหนให้พวกเขาฟัง
Keohyeon: “One, World, Wound” ผมคิดว่ามันถ่ายทอดความสวยงามของ Dabda
Seunghyeon: “Look of A Dream” เป็นเพลงโปรดส่วนตัวของผมครับ
Jiae: ฉันแนะนำ “Playing Alone” เพลงนี้เข้ากับสภาพอากาศของประเทศไทยได้ดี
เป้าหมายในอนาคตของ Dabda มองตัวเองไว้อย่างไร?
Jiae: ฉันอยากเล่นคอนเสิร์ตให้ผู้คนทั่วโลกได้ชมมากขึ้นค่ะ
Seunghyeon: ในฐานะนักดนตรี ผมต้องการแสดงออกอย่างอิสระและไปทัวร์รอบโลก ได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่ต่างๆ และสร้างวงจรเชิงบวกในการทำอัลบั้มใหม่
Keohyeon: ผมหวังว่าเราจะสามารถสนุกกับดนตรีด้วยกันไปอีกนานโดยไม่รู้สึกเบิร์นเอาท์ไปเสียก่อน