การกลับมาของ Coldplay กับคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดในโลก
การกลับมาเล่นคอนเสิร์ตครั้งที่ 3 ในประเทศไทยของ Coldplay ยังคงครึกครื้นเช่นเคย สเตเดี้ยมความจุกว่า 60,000 ที่นั่งถูกจับจองเต็มสนามราชมังฯ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีที่แฟนๆ เฝ้ารอคอย โดยมี Valentina Ploy ศิลปินหญิงลูกครึ่งไทย-อิตาลีเล่นเป็นวงเปิดสร้างสีสันก่อนโชว์ใหญ่จะเริ่มขึ้น
ก่อนจะตามมาด้วยคลิปวิดีโออินโทรที่ชักชวนทุกคนมาร่วมกันใส่ในสิ่งแวดล้อม มีการมอบสายรัดข้อมือไฟ LED ซึ่งเป็นวัสดุรีไซเคิลที่ทำมาจากพืช บนพื้นสนามมีการติดตั้งแดนซ์ฟลอร์ที่ผลิตพลังงานจากการเต้นและกระโดดของทุกคน อีกทั้งยังมีจักรยานให้แฟนๆ มาช่วยกันปั่นเพื่อผลิตพลังงานอีกด้วย
ประมาณสองทุ่มครึ่ง เวลาที่หลายคนรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อสมาชิกวงทั้ง 4 คน นำโดย คริส มาร์ติน (ร้องนำ), จอห์นนี่ บัคแลนด์ (กีตาร์), กาย เบอร์รีแมน (เบส) และวิล แชมเปียน (กลอง) ปรากฏตัวขึ้นอย่างใกล้ชิดกับแฟนๆ ก่อนจะเดินขึ้นบนเวทีและเปิดโชว์ด้วยเพลง "Higher Power" จากอัลบั้มชุดล่าสุด Music of the Spheres ที่เปลี่ยนสนามราชมังฯ ให้เต็มไปด้วยไฟกะพริบจากสายรัดข้อมือไฟ LED
คริส มาติน ได้พูดทักทายแฟนๆ เป็นภาษาไทย ไม่ใช่แค่คำว่า "สวัสดีครับ" แต่จำมาเป็นประโยคยาว "สวัสดีครับ เราดีใจที่ได้มาเจอทุกคน...หิวมั้ย...ผมก็หิว" และยังมีอีกหลายคำที่แม้แต่ตัวเขาเองยังแซวตัวเองว่า พรุ่งนี้น่าจะพูดชัดขึ้นกว่านี้นะ แน่นอนว่าเรียกเสียงเฮลั่นจากแฟนๆ ตั้งแต่ช่วงต้นของโชว์ ก่อนจะตามมาด้วยเพลงฮิตอีกหลายเพลง รวมไปถึงเพลงยุคแรกๆ อย่าง "Fix You" และ "The Scientist" ที่ตอนจบมีการย้อนภาพกลับเหมือนในมิวสิกวิดีโอด้วย
การเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้เป็นการโปรโมทอัลบั้มชุดล่าสุด Music Of The Spheres อัลบั้มชุดที่ 9 ของ Coldplay ที่โดดเด่นด้วยดนตรีแนวอิเล็กโทรป็อบ ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในโชว์พร้อมกับสายรัดข้อมือไฟ LED ก็จะเพิ่มความตื่นตาตื่นใจให้แฟนๆ รอลุ้นว่าในแต่ละช่วงของเพลงไฟจะเปลี่ยนเป็นสีอะไรบ้าง
ดนตรีและหลายบทเพลงจากอัลบั้มชุดหลังๆ ของ Coldplay ถูกออกแบบให้เหมาะกับการแสดงสด ยิ่งเมื่อนำมาเล่นในระดับสเตเดี้ยมก็ยิ่งเพิ่มความเล่นใหญ่ ผสมกับลูกเล่นและความสามารถของวงที่หยิบจับเทคนิคต่างๆ มาผสมผสานกัน หลายช่วงในคอนเสิร์ตเราจะได้เห็นการนำเพลงต่างๆ มาเชื่อมเป็นโชว์ได้ดี เล่นต่อกันแบบไม่มี dead air
สำหรับเซ็ตลิสต์ของโชว์ที่กรุงเทพฯ มีความแตกต่างจากโชว์ล่าสุดที่สิงคโปร์ มีช่วงที่คริส มาร์ติน เดินไปอ่านป้ายข้อความที่แฟนๆ เขียนมาจากบ้าน พร้อมกับถามว่ามาจากประเทศไหนกันบ้าง แถมเรียกให้แฟนเพลงผู้โชคดีขึ้นมาบนเวทีในช่วงที่เล่นเพลง "Up&Up" ไม่เพียงเท่านั้นยังให้แฟนๆ ทุกโซนบนสเตเดี้ยมมีส่วนร่วมตลอดทั้งโชว์ โดยในช่วงเพลง "Human Heart" อัฒจรรย์ตรงกลางหน้าเวทีก็ถูกเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ 3 ดวง คล้ายๆ กับการแปรอักษร ซึ่งเป็นแสงไฟจากสายรัดข้อมือนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโมเมนต์ที่น่าจดจำ เช่น คริส มาร์ติน ทำท่าทางภาษามือในระหว่างแสดงเพลง "Something Just Like This" รวมไปถึงแกล้งแฟนๆ ในช่วงเพลง "A Sky Full of Stars" ช็อตฟีลด้วยการหยุดเพลงเสียดื้อๆ เพราะรู้ว่าทุกคนจะรอเต้นในช่วงท่อนฮุค รวมไปถึงแฟนเซอร์วิสด้วยการกล่าวขอบคุณ ARMY ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนๆ ของวง BTS หลังมีการแสดงเพลง "My Universe" และมีการนำบางท่อนของเพลง "The Astronaut" ที่ได้ร่วมงานกับ Jin แห่ง BTS มาร้องด้วย
โดยส่วนตัวยังคงยกให้ "Yellow" เป็นเพลงที่น่าจดจำที่สุดของคอนเสิร์ต Coldplay เสมอมา ช่วงเวลาที่แฟนเพลงทั้ง 60,000 กว่าคนทั่วสเตเดี้ยมต่างนิยาม Yellow ไปถึงสิ่งที่แตกต่างกัน ตามมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน แต่คือโมเมนต์ที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันร้องเพลงสุดเสียง โดยมีแสงไฟสีเหลืองเปล่งแสงสว่างอยู่เบื้องหน้าตลอดทั้งเพลง
ส่วนอีกเพลงที่สัมผัสใจมากๆ ก็คือ "Sparks" เพลงยุคแรกๆ จากอัลบั้ม Parachutes ที่คริส มาร์ติน ร้องในเวอร์ชั่นอะคูสติก ชวนให้คิดถึงการเดินทางอันยาวนานของ Coldplay ในตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา โดยยังคงมีสมาชิกรุ่นบุกเบิกทั้ง 4 คนที่เต็มไปด้วยมิตรภาพอันเหนียวแน่น ไม่เคยมีการเปลี่ยนสมาชิกวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
พวกเขาปิดโชว์ด้วยเพลง "Biutyful" พร้อมด้วยพลุไฟเหนือสนามราชมังฯ การเล่นใหญ่ระดับแกรนด์ของ Coldplay ยังคงสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ตลอดทั้งโชว์ เพราะนี่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตที่แฟนๆ มารอคอยฟังเพลงโปรด แต่ยังเป็นโชว์ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้โดยส่วนตัวมองว่าในพาร์ทเพอร์ฟอร์แมนซ์อาจไม่ได้ฟิตเหมือนสมัยที่พวกเขามาเล่นในปี 2017 แต่ก็ยังอยู่ในมาตรฐานระดับโลกของพวกเขาที่มอบความสุขให้กับทุกคนได้เช่นเดิม
Story By Tatiya K.