พูดคุยกับ Bon Iver วงดนตรีผู้สร้างโชว์แห่งจิตวิญญาณ ก่อนมาเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทย
Bon Iver มักถูกยกย่องในฐานะศิลปินที่มีวิวัฒนาการทางดนตรีที่ก้าวกระโดดที่สุด พวกเขาสร้างชื่อจากอัลบั้ม For Emma, Forever Ago (2008) และ Bon Iver (2011) เพลงของเขาได้รับการชื่นชมถึงความลึกซึ้งและเป็นสุดยอดอัลบั้มของแนวโฟล์ก
ในขณะที่วงสามารถสร้าง "ลายเซ็น" จนสามารถยืนหนึ่งทางสายโฟล์กได้ ในอัลบั้ม 22, A Million (2016) พวกเขาได้ฉีกตัวตนไปทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้ดนตรีของ Bon Iver มีวิวัฒนาการข้ามสายแนวดนตรีอย่างสุดโต่ง ในขณะที่ i,i (2019) ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะของ Bon Iver ในฐานะวงระดับท็อปของโลก
ปัจจุบัน Bon Iver กลายเป็นหนึ่งในวงที่หลายคนอยากดูแสดงสดในชีวิตสักครั้ง การันตีด้วยรางวัลนับไม่ถ้วน และการแสดงที่ sold out เกือบทุกที่ที่ไป หัวหอกของวงอย่าง จัสติน เวอร์นอน ได้กล่าวถึงการเล่นสดของเค้าอย่างน่าสนใจว่า
“ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่มีคนหลักสิบคนดูหรือตอนนี้ที่เล่นที่อารีน่า ที่มีคนกว่า 10,000 คน โชว์ของเรายังเต็มไปด้วยพลังมหาศาลเหมือนเดิม ตอนนี้ทางทีมได้พยายามออกแบบการแสดงให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้คนดูได้ประสบการณ์ในการรับชมในรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ที่สุด"
วันนี้เสพย์สากลได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับ จัสติน เวอร์นอน, แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก, ฌอน แคร์รี่ย์ โดยพูดคุยกันตั้งแต่กระบวนการทำเพลงอันเฉพาะตัว ไปจนถึงการแสดงสดของ Bon Iver ที่ถูกกล่าวขานในฐานะสุดยอดโชว์ของโลก
1) การปรับเปลี่ยนเพลงแบบออดิโอสู่เพลงที่เวอร์ชันแสดงสดบนเวทีคอนเสิร์ต มันมีความยากง่ายอย่างไร
จัสติน เวอร์นอน : ไม่ครับ ไม่ยากเลย เราพยายามคิดว่าเพลงก็มีชีวิตของมัน และเราจะไม่ยึดติด ไม่อยากให้มันออกมาเหมือนในเวอร์ชันออดิโอ เพลงอาจมีชีวิตในอัลบั้มเหมือนเดิมตลอดไป แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของมันต้องเหมือนเดิมเมื่ออยู่ในคอนเสิร์ต
แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก: ผมว่ามันท้าทายในเรื่องการปรับเสียงจากออดิโอมาสู่เวทีคอนเสิร์ต แต่มันคือกระบวนการที่เรารู้สึกมีความสุขไปกับมัน สนุกเวลาเราต้องมาชำแหละเพลงตัวเอง แล้วแบ่งว่าใครควรเล่นส่วนไหน เพื่อคงความเป็นเพลงนั้นมากที่สุด
ฌอน แคร์รี่ย์: ผมมองว่ามันสุกมากเลยนะ อาจจะมองว่าเป็นความท้าทายก็ได้ แต่เป็นความท้าทายที่เต็มไปด้วยความสนุก ผมรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นเพลงของเราเปลี่ยนไป แล้วมีคาแร็กเตอร์ใหม่บนเวที
2) โปรดักชันคอนเสิร์ตของ Bon Iver ได้รับการกล่าวขานถึงความอลังการไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสง สี เสียง ผมอยากทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่มีส่วนสำคัญทำให้คอนเสิร์ต Bon Iver มีความสวยงามและยิ่งใหญ่
จัสติน เวอร์นอน: ผมต้องยกความดีความชอบให้กับ ไมเคิล บราวน์ เขาคืออัจฉริยะตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังด้านคอนเซปต์โปรดักชั่น ส่วนผมจะสนใจแต่ด้านดนตรีเพียงอย่างเดียว คนของ Bon Iver ไม่ได้เป็นเพียงนักดนตรีอย่างเดียว พวกเราเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่มากกว่า
3) ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกมาจนถึงล่าสุด ทุกคนต่างสัมผัสได้ว่ามันมีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องดนตรี แล้วคุณรู้สึกอย่างไรบ้างเวลาเล่นเพลงเก่าของตัวเอง ซึ่งผลงานเหล่านั้นมีสไตล์แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
จัสติน เวอร์นอน: เราเปลี่ยนแปลงเพลงตัวเองตลอด ดังนั้นผมยังรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ แล้วเรายังมีสมาชิกคนใหม่ (เจนน์ วาสเนอร์) เธอนี่แหละช่วยนำพาพลังสดใหม่มาสู่วงของเรา
แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก: เรายังรู้สึกสนุกเสมอเวลาเล่นเพลงเก่าๆ เพราะเวลาเล่นสดเรานำมาปรับใหม่ ใช้ลูกเล่นเกี่ยวกับเสียงค่อนข้างเยอะ ซึ่งไม่ได้นำเสนอตัวตนของเพลงแบบออริจินัล แต่เราก็เพิ่งนำเพลงเก่ามาชุบชีวิตใหม่อีกครั้ง อย่างเพลง "Lump Sum" ที่ไม่ได้เล่นสดมานานหลายปี ผมมองว่าเพลงเก่าก็เหมือนเพลงใหม่ เพราะเราไม่ได้เล่นเพลงเหล่านั้นมานานมาก แล้วยิ่งมี เจนน์ วาสเนอร์ เข้ามาในฐานะสมาชิกใหม่ของวง ทำให้เราได้มุมมองสดใหม่ๆ จากเธอเข้ามาเพิ่มเติม
ฌอน แคร์รี่ย์: ผมรู้สึกสดชื่นนะเวลาได้เล่นเพลงเก่าๆ ของวง เราสามารถเลือกว่าเพลงไหนเหมาะกับเซ็ทลิสต์ รู้สึกดีเวลาเล่นเพลงที่เราต่างคุ้นเคยกันดี บางครั้งไม่จำเป็นต้องซับซ้อนก็ได้ แค่เล่นอะไรที่เรียบง่ายก็มีความสุข
4) ที่ผ่านมาพวกคุณได้ร่วมงานกับศิลปินหลายแขนงมากมาย คุณมีศิลปินในฝันที่อยากร่วมงานอีกไหม
จัสติน เวอร์นอน: ให้ตายเถอะ เวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน 12-13 ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินหลายคน ทำความฝันสำเร็จไปหลายครั้งหลายหน พูดตามตรงนะ ช่วงนี้ผมอยากทำงานกับตัวเองไปก่อนแล้วกัน
5) ในอัลบั้มชุดล่าสุด 'i,i' เพลงไหนที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุด แล้วเพลงไหนใช้เวลาเขียนไวที่สุด
จัสติน เวอร์นอน: "เป็นคำถามที่ดีมาก "iMi" (ก่อนหน้านั้นเเคยเรียกเพลงนี้ว่า "BARN") เราใช้เวลาเขียนถึงเจ็ดปีตั้งแต่ต้นจนจบ ผมเคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ในพ็อดแคสต์ของ New York Times ลองไปฟังเพิ่มเติมดู เป็นเรื่องราวที่บ้ามาก ส่วนเพลงที่เขียนเสร็จไวที่สุดคือ "Holyfields" มันถูกเขียนและบันทึกเสียง โดยใช้เวลาแค่ช่วงบ่ายของวันๆ นึง เป็นช่วงเวลาที่มีความอัศจรรย์จริงๆ
6) พูดถึงกระบวนการเขียนเพลงในอัลบั้ม '22, A Million' และ 'i,i' เวลาคุณเขียนเพลงขึ้นมา จำเป็นไหมที่ต้องคิดเผื่อว่าเพลงเหล่านั้นเวลาแสดงสดจะออกมาเป็นอย่างไร
จัสติน เวอร์นอน: ผมพยายามไม่คิดเผื่อ ตลอดสิบปีที่ผ่านมาวงของเรามีพัฒนาการเกี่ยวกับดนตรีที่ยอดเยี่ยม เราไม่เคยทำเพลงจากการเล่นสดก่อน แล้วค่อยไปบันทึกเสียงทีหลัง นี่ไม่ใช่วิธีการทำเพลงของเรา
7) แล้วมีเพลงไหนบ้างที่คุณรู้สึกว่ามีความยากและท้าทายในการแสดงสด
จัสติน เวอร์นอน: หากพูดถึงในบริบทของการเล่นเพลงเหล่านั้น ผมไม่รู้สึกท้าทายแล้ว ขอบคุณพระเจ้า แต่การเล่นเพลงอย่าง "Sh'Diah" แล้วได้ยินเสียงแซ็กโซโฟนของไมค์ มันทำให้ผมรู้สึกอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ผมว่ามันท้าทายเรื่องการพยายามไม่ร้องไห้มากกว่า"
แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก: ส่วนตัวผมมองว่า "Holocene" ก็เล่นสดยาก เพลงนี้ต้องเล่นด้วยทักษะฟิงเกอร์ไสตล์แบบเฉพาะตัว แต่บางครั้งเวลาเราแสดงเพลงที่ใช้พลังงานสูง มันค่อนข้างเป็นงานยากที่ต้องเปลี่ยนเครื่องดนตรีฉับพลัน ผมต้องใช้เวลาตั้งสติชั่วครู่ และหาความผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันเวลาผมรู้สึกแบบนั้น การเล่นเพลง "Holocene" คือสิ่งที่ผมชอบที่สุด
ฌอน แคร์รี่ย์: ผมต้องยกให้เพลง "iMi" มันต้องใช้การประสานงานแบบวงดนตรี เราซ้อมเพลงใหม่ด้วยกันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเล่นเพลงเหล่านี้ในคอนเสิร์ตของพวกเรา
8) นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณมาที่กรุงเทพใช่ไหม แล้วมีอะไรอยากทำที่นี่เป็นพิเศษไหม
จัสติน เวอร์นอน: ผมอยากกินต้มข่า ผมตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เล่นต่อหน้าแฟนๆ ที่นั่น แล้วเราก็ไม่เคยไปประเทศมาก่อนด้วย
แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก: นี่ก็เป็นครั้งแรกสำหรับผม และน่าจะเป็นครั้งแรกสำหรับหลายๆ คนในวงด้วย ตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปที่นั่น ถึงแม้ผมจะไม่มีแผนที่แน่นอน แต่ผมคาดหวังว่าจะได้ไปเดินเล่นรอบเมือง ไปวัด แล้วก็ได้กินอาหารอร่อยๆ ครับ
ฌอน แคร์รี่ย์: เราตื่นเต้นมากๆ ครับ สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นอาหารไทยครับ อาหารไทยเป็นที่นิยมทั่วโลก ผมเลยอยากรู้รสชาติว่าอาหารไทยแท้ๆ มันเป็นอย่างไร
9) มีอะไรฝากถึงแฟนเพลงชาวไทยบ้าง
จัสติน เวอร์นอน: ขอบคุณที่รอคอย บนเวทีเราทุ่มเทเต็มที่เพื่อคุณแน่นอน ขอบคุณที่ยังเป็นแฟนเพลงของเรา
แอนดี้ ฟิทซ์แพทริก: ขอบคุณที่ชอบเพลงของพวกเรา เราโชคดีมากๆ ที่จะได้ไปที่กรุงเทพ และได้แสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าพวกคุณ
ฌอน แคร์รี่ย์: ผมอยากบอกว่า อย่าหยุดเสาะหาเพลงเจ๋งๆ จากทั่วทุกมุมโลกครับ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Bon Iver ยังได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมีถึง 4 สาขาด้วยกันได้แก่ Album of the Year, Record of the Year, Best Alternative Music Album, และ Best Recording Package ถือเป็นปีที่ Bon Iver เฉิดฉายอย่างงดงาม
นอกจากนั้น Bon Iver ยังปล่อยมิวสิกวีดีโอ "Naeem" แทร็กจากอัลบั้ม 'i,i' โดยมิวสิกวีดีโอกำกับโดย AG Rojas ที่เคยร่วมงานกับศิลปินอื่นๆ มากมาย เช่น Kamasi Washington, Florence + The Machine, Run The Jewels, และ Zack de la Rocha
เตรียมพบประสบการณ์คอนเสิร์ตที่จะเรียกน้ำตาทุกคน ที่จะติดตรึงประทับใจที่สุดหนึ่งงานในปี 2020 กับ Singha Corporation presents Bon Iver live in Bangkok 2020 วันที่ 15 มกราคม 2563 โดย Bon Iver จะขนทีมชุดใหญ่และเครื่องดนตรีทุกอย่างมาเต็มๆ ที่จะทำให้เกิดมิติใหม่แห่งแสงและเสียงที่สวยงาม และจะเกิดขึ้นที่มูนสตาร์อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
ซื้อบัตรได้ที่: Ticketmelon.com/VIJI/BONIVER