Arlo Parks ศิลปินอินดี้ป็อปจากลอนดอน กระบอกเสียงของคนเจเนอเรชั่น Z
ขณะนี้วงการดนตรีประเทศอังกฤษกำลังจับตามองดาวรุ่งคนใหม่อย่าง Arlo Parks ศิลปินมากความสามารถที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่น สามารถแจ้งเกิดอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2 ปี ขณะที่เธอมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น โดยทาง BBC ยกให้เธอเป็นศิลปินที่เฉิดฉายของปี 2020 อีกทั้งผลงานเพลงก็ยังติดลิสต์ Influential Sound ของปีนี้อีกด้วย
Arlo Parks ศิลปินผิวสีเชื้อสายไนจีเรีย ชาด และฝรั่งเศส เธอเติบโตในกรุงลอนดอน หลงใหลการอ่านหนังสือนิยาย อ่านบทกวี และชื่นชอบการฟังเพลงหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นอีโมพังค์ โซล แจ๊ส และอาร์แอนด์บี
เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบเขียนอะไรต่างๆ เก็บไว้ เพื่อบันทึกอารมณ์และความรู้สึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ได้เริ่มฝึกเขียนเพลงในเวลาต่อมา เธอบอกว่าอัลบั้มโปรดคือ A Seat At The Table ของ Solange และ Channel Orange ของ Frank Ocean ส่วนศิลปินที่มีอิทธิพลต่อการเขียนเพลงได้แก่ Elliott Smith, Leonard Cohen และ Nico
สำหรับการเริ่มเขียนเพลงครั้งแรก เธอเผยว่าเขียนขึ้นเพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆ หลังเพื่อนของเธอได้รับแรงกดดันจากพ่อแม่ในเรื่องเส้นทางชีวิตและอาชีพการงาน ทำให้ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งถือเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่วัยรุ่นอย่างพวกเธอล้วนต้องเคยผ่านประสบการณ์ในการค้นหาตัวตนเช่นนี้
ส่วน Arlo ได้เข้าสู่วงการเพลงและในช่วงปลายปี 2018 เธอปล่อยซิงเกิ้ลแรกในชีวิตที่มีชื่อว่า “Cola” เล่าถึงความสัมพันธ์ที่แสนเศร้าและเปราะบาง ตามมาด้วยเพลง “Super Sad Generation” จากอีพีอัลบั้ม ‘Super Sad Generation’ หยิบยกเรื่องราวความกดดันในชีวิตของเหล่าคนเจเนอเรชั่น Z มาเล่าผ่านบทเพลง
การแจ้งเกิดในครั้งนั้นทำให้ Arlo เริ่มเป็นที่รู้จักและมีโอกาสได้ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตในเทศกาลดนตรี Glastonbury พร้อมกับการเดินสายทัวร์ในอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ผลงานของเธอได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกว่าเป็นเพลง lo-fi ที่มีกลิ่นอายแจ๊สและป๊อบที่มีชั้นเชิงทั้งพาร์ตของดนตรีและเนื้อหาเพลง
“ฉันได้ไปทัวร์ยุโรปและตระหนักได้ว่าบทเพลงของฉันสามารถเชื่อมโยงกับผู้คนได้ ไม่ว่าจะอยู่ในลอนดอน เบอร์ลิน หรือปารีส สิ่งที่ฉันร้องออกมามันสื่อสัมผัสได้ถึงพวกเขา นั่นก็เพราะเราเป็นมนุษย์ และเป็นวัยรุ่นที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน”
เธอได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่นักฟังเพลงรุ่นใหม่ จนกระทั่งฐานกลุ่มแฟนเพลงขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยอีพีอัลบั้มชุดที่สอง Sophie ที่ปล่อยในปี 2019 และซิงเกิ้ลใหม่ๆ ในปี 2020 ที่ยิ่งผลักดันให้ศิลปินดาวรุ่งคนนี้เปล่งประกายกว่าเดิม ได้แก่เพลง “Eugene", "Sangria" (ft. Easy Life) และ “Blackdog”
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดในบทเพลงของ Arlo คือเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มีเนื้อหาที่นุ่มลึก ภาษาเรียงร้อยอย่างสวยงาม ส่วนใหญ่เลือกที่จะถ่ายทอดความรู้สึกกังวลของคนเจเนอเรชั่น Z ทำให้ Arlo กลายเป็นศิลปินที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นเธอซึ่งส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างการเป็นวัยรุ่นไปสู่การเป็นผู้ใหญ่
“คนเจน Z คือกลุ่มคนที่เกิดมาพร้อมกับโซเชียลมีเดีย เจน Z มักเป็นนักฝัน นักสร้างสรรค์ มองโลกในแง่ดี แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโซเชียลมีเดียหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ที่ทำให้เจเนอเรชั่นเราล้วนเป็นพวกที่ชอบเสพความเศร้า”
“วัยรุ่นที่อยู่ในช่วงอายุของฉัน มักประสบกับปัญหาเรื่องสุขภาพจิต พวกเขาสิ้นหวังกับสิ่งไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตราหน้าความหดหู่นี้นะ เราแค่ต้องการแชร์วิธีการต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ด้วยกัน เคยมีแฟนเพลงเข้ามาพูดว่า เพลงของฉันช่วยพวกเขาจากโรคซึมเศร้าและช่วยให้ออกมาจากความรู้สึกแย่ๆ ได้ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากจริงๆ”
ในอนาคต Arlo มีความตั้งใจอยากจะทำเพลงที่บอกเล่าปัญหาของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการฆ่าตัวตาย โซเชียลมีเดีย และความรู้สึกสิ้นหวัง ราวกับทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจของหลายๆ คน เธอต้องการเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่ายังมีคนเข้าใจและยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเผชิญสิ่งเดียวกัน ซึ่งเรื่องพวกนี้มีทางออกเสมอ
อย่างเพลงใหม่ล่าสุด “Black Dog” นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจาก 3 สิ่ง ได้แก่ นิยายเรื่อง Killing and Dying ของ Adrian Tomine / คำคมจากหนังสือ Bluets by Maggie Nelson กับประโยคที่บอกว่า “ฉันรู้สึกราวกับตัวเองเป็นทาสรับใช้ความเศร้า แต่ฉันก็ยังคงสามารถมองหาความสวยงามในนั้น” / และเพื่อนของเธอที่ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2018
“ตอนที่รู้ข่าวว่าเพื่อนฆ่าตัวตาย ฉันช็อกมาก นับตั้งแต่นั้นมาฉันก็พยายามแคปซูลความรู้สึกต่างๆ ไว้ในเพลง ความรู้สึกที่เหมือนหลงทาง แต่ก็ยังมีความหวัง ในขณะที่ผู้คนเริ่มพูดถึงโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล ฉันคิดว่าการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่โอเคนะ แม้โลกออนไลน์มันจะ toxic ไปบ้าง แต่อย่างน้อยฉันเชื่อว่ายังพอมีพื้นที่ที่แสดงให้เห็นว่าคุณสมควรที่จะได้รับกำลังใจการสนับสนุนเช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ Arlo Parks ยังเป็นศิลปินที่กล้าเปิดเผยว่าตัวเธอเป็น ‘ไบเซ็กชวล’ โดยเขียนแคปชั่นแนะนำตัวเองว่า “ฉันตกหลุมรักเพื่อนผู้หญิงในคาบเรียนวิชาสเปน” และยังเล่าประสบการณ์ในวัยเรียนว่า ทั้งโรงเรียนมีเด็กผิวสีเพียง 3 คน และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น และการที่เธอเป็นคนผิวสีที่เป็นไบเซ็กชวล จึงทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากๆ สำหรับการเติบโต เธอรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม
“แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ยินดีที่คนเจเนอเรชั่น Z เปิดใจรับเรื่องความหลากหลายทางเพศภาพได้ เพศสภาพกับคนผิวสีเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยถูกพูดมากนัก ดังนั้นการที่ฉันเป็นศิลปินและเปิดตัวว่าเป็นไบเซ็กชวล มันอาจช่วยให้คนที่เป็นแบบเดียวกับฉันรู้สึกดีและกล้าเปิดเผยมากขึ้น เพระนี่คือสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา”
Arlo ยังเผยว่าสิ่งที่ทำให้เธอได้ก้าวข้ามผ่านความกดดันและช่วงเวลาดังกล่าวมาได้นั้น ต้องยกกล่าวขอบคุณโลกแห่งวรรณกรรม ที่เป็นดั่งสถานที่ให้เธอได้ลี้ภัยชั่วคราวไปสู่โลกแห่งจินตนาการและแฟนตาซี โดยเฉพาะนักเขียนและนักกวีอย่าง Kurt Vonnegut, Sylvia Plath และ Leo Tolstoy ซึ่งทำให้เธอเป็นหนอนหนังสือตั้งแต่เด็ก และมีส่วนช่วยให้เธอเขียนเพลงออกมาได้อย่างสละสลวย
"ฉันรักตัวอักษรเสมอมา หนังสือเป็นเหมือนที่ลี้ภัยของฉัน เมื่อฉันรู้สึกโดดเดี่ยวหรือหลงทาง หนังสือจะยื่นตั๋วเดินทางให้ฉันไปยังที่ไหนสักแห่ง วันหนึ่งฉันวางแผนว่าอยากจะตีพิมพ์หนังสือบทกวีของตัวเอง แต่ตอนนี้ขอโฟกัสกับเรื่องเพลงก่อน"
Source
- The CityLife interview - Arlo Parks
- On The Rise: Arlo Parks
- INTERVIEW: SINGER/SONGWRITER ARLO PARKS
Story By: ตติ