Humbug อัลบั้มชุดที่สามสู่จุดเปลี่ยนของ Arctic Monkeys
หากอัลบั้ม Whatever People Say I Am... และ Favourite Worst Nightmare คืองานเพลงอินดี้ร็อกเมามันส์ เกรี้ยวกราดถูกใจวัยรุ่น Humbug คงเป็นอัลบั้มที่ Arctic Monkeys เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไปจากเดิม
สองอัลบั้มแรก Arctic Monkeys บันทึกเสียงที่อังกฤษ ถัดมาในยุค Humbug วงได้เปลี่ยนโลเคชั่น บินลัดฟ้าสู่อเมริกา ไปบันทึกเสียงที่ Rancho De La Luna สตูดิโอกลางทะเลทรายแถบ Joshua Tree, California ซึ่งมีโปรดิวเซอร์ Josh Homme นักร้องนำ Queens of the Stone Age เป็นผู้ดูแล
บรรยากาศการทำงานที่ Rancho De La Luna แตกต่างจากอังกฤษอย่างสิ้นเชิง ทั้งสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม สองสัปดาห์แรก Arctic Monkeys ทดลองหาซาวด์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม และเริ่มหันไปฟังวงร็อกยุคเก่าอย่างจริงจัง ได้แก่ Cream, Black Sabbath และ Jimi Hendrix
นอกจากบรรยากาศที่เปลี่ยนไป แนวทางการทำเพลงก็เปลี่ยนไปด้วย แฟนเพลงยุคแรกสัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังเปลี่ยนไป จากผลตอบรับซิงเกิ้ลแรกอย่าง "Crying Lightning" แม้จะยังมีตัวตนชัดเจน แต่ก็มีความมืดหม่นกว่างานชุดก่อนๆ รวมถึงเริ่มเห็นชั้นเชิงความเก๋าประสบการณ์
เช่นเดียวกับแทร็กอื่นๆ ในอัลบั้ม ที่ลดความดุเดือดเลือดพล่านแบบวัยรุ่น แต่เติมเต็มด้วยความแปลกใหม่ด้วยเสียงสไลด์กีตาร์ คียบอร์ด รวมถึงซาวด์เอฟเฟกต์ต่างๆ แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีแฟนเพลงที่ตื่นเต้นในวิวัฒนาการ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังยึดติดและชื่นชมงานสองชุดแรกมากกว่า
Humbug จึงไม่ใช่แค่อัลบั้มที่มีเพลงดังอย่าง "Crying Lightning", "Secret Door", "Cornerstone" แต่ยังเป็นอัลบั้มที่นิยามช่วงเวลาที่ Arctic Monkeys เลือกที่จะออกจากสไตล์เดิมๆ สู่เส้นทางใหม่ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งแรกของวง