เสพย์สากล
News Column Interview Review Songs

รีวิวอัลบั้ม The Weeknd - Hurry Up Tomorrow

3 ก.พ. (5 เดือนที่แล้ว)

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนของคุณ

หลายปีที่ผ่านมากราฟชีวิตของ The Weeknd คล้ายกับรถไฟเหาะตีลังกา ซีรีส์ The Idol ที่เขาร่วมสร้างและแสดงนำ เจอเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนัก ถูกแคนเซิลไม่ได้ไปต่อในซีซัน 2 

อีกเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา คือการที่เขาเสียงหายในคอนเสิร์ตใหญ่ เป็นสัญญาณว่าร่างกายของเขาอาจกำลังถดถอย เตือนว่าอาจถึงเวลาที่เขาต้องวางมือจากการเป็น The Weeknd 

Hurry Up Tomorrow จึงเป็นอัลบั้มที่น่าจับตามองในหลายแง่มุม นอกจากจะเป็นบทสรุปของไตรภาค After Hours (2020) และ Dawn FM (2022) แล้ว ยังอาจเป็นการอำลาวงการในนาม The Weeknd ซึ่งหลายคนมั่นใจว่า Abel ต้องทุ่มหมดหน้าตักกับการปิดฉากครั้งนี้ 

นอกจากแทร็กเปิดอัลบั้ม "Wake Me Up" ที่แนะนำโลก Hurry Up Tomorrow ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจจากการจับมือกับ Justice จุดแข็งที่ยังคงอยู่ของ The Weeknd คือการเชื่อมต่อเพลงในรูปแบบคอนเซปต์อัลบั้ม โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านอารมณ์ตึงเครียดใน "Baptized In Fear" สู่เพลงจังหวะอัพบีทต์ของ "Open Hearts"  

หรือการนำเหตุการณ์จริงที่เขาเสียงหายมาถ่ายทอดเป็นเพลงบิวต์อัพใน "I Can't F**king Sing" แล้วจัดวางไว้ก่อนเพลง "São Paulo" เหมือนได้รับการเจิม กลายเป็นจุดพีคตั้งแต่ช่วงต้นอัลบั้ม 

อัลบั้มนี้ถือมีแนวดนตรีหลากหลาย แต่ที่ชัดเจนที่สุดยังคงเป็นเสียงเครื่องสังเคราะห์แบบยุค 80s ซึ่งหลายๆ ท่อนมีลายเซ็นเสียงซินธ์แบบฉบับของพ่อมด Giorgio Moroder ที่มาช่วยปลุกปั้นอัลบั้มนี้ เลยไม่แปลกเลยที่หลายช่วงจะทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของหนัง Scarface หรือกำลังท่องไปในเกม GTA Vice City 

ที่ผ่านมา The Weeknd มักท้าทายรูปแบบการโปรโมทแบบกระแสหลัก เห็นได้จากอัลบั้ม Dawn FM (2022) ที่เขาตัดสินใจปล่อยอัลบั้มทั้งชุดในคราวเดียว โดยไม่มีการนำร่องด้วยซิงเกิ้ลหรือเอ็มวี และล่าสุดกับอัลบั้มนี้ ที่อัดแน่นด้วยบทเพลงถึง 22 แทร็ก เทียบเท่ากับดับเบิ้ลอัลบั้ม 

แม้จำนวนเพลงจะมากกว่าอัลบั้มปกติสองเท่า และบางช่วงอาจรู้สึกเนือยและยืดเยื้อไปบ้าง แต่ต้องชื่นชมการจัดเรียงเพลงของ The Weeknd (อีกครั้ง) ที่มีการแทรกเพลงป็อปอย่าง "Take Me Back To LA" และ "I Can't Wait To Get There" ซึ่งเพลงหลังการประสานเสียงของนักร้องหญิงในเพลงเหล่านี้ชวนให้นึกถึงลายเซ็นของ Tyler, The Creator 

อีกหนึ่งเพลงที่น่าจับตาคือ "The Abyss" กับการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ The Weeknd และ Lana Del Rey แม้ครั้งนี้อาจจะไม่ป็อปเมนสตรีมแบบ "Lust For Life" แต่การได้ยินเสียงของ Lana Del Rey ในช่วงท้ายของอัลบั้ม ก็ชวนให้นึกถึงเส้นทางดนตรีของทั้งคู่ ที่ตอนนี้ยังคงยืนหยัดเป็นตัวท็อปของวงการดนตรี 

น่าสนใจที่เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้สะท้อนแง่มุมส่วนตัวของ The Weeknd เผยให้เห็นเงามืดในชีวิตของศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ โดยเนื้อหาเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่จะถูกนำไปขยายความในภาพยนตร์ Hurry Up Tomorrow ทำให้อัลบั้มนี้มีความกึ่งๆ เป็นอัลบั้มซาวด์แทร็กหนังไปในตัว 

หากเปรียบเทียบกับ 2 อัลบั้มก่อนหน้านี้ Hurry Up Tomorrow อาจไม่มีเพลงฮิตโดดเด่นเหมือน After Hours แต่จะมีความคล้ายคลึง Dawn FM ที่ฟังสนุกในแง่การฟังแบบอัลบั้ม และยังสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานของ The Weeknd ที่หาความสมดุลกับเพลงป็อปได้อย่างร้ายกาจ 

Hurry Up Tomorrow จะเป็นบทสุดท้ายของในนาม The Weeknd แม้หลายคนรู้สึกเสียดาย เพราะชื่อนี้ยังสามารถสร้างปรากฏการณ์ในวงการดนตรีได้อีก แต่หากมองในมุมของศิลปิน ก็เหมือนกับนักพนันที่ฉลาด รู้จักถอนตัวตอนมือขึ้น ดีกว่ารอจนเสียจนหมดตัว การหลีกเลี่ยงขาลงของตัวเอง อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา

คะแนน: 4.5/5 
รีวิวโดย: เสพย์สากล

#REVIEW #THEWEEKND

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนของคุณ

Recommended

แปลเพลง : Pink Sweat$ - At My Worst รักฉันในวันที่แย่ที่สุด แปลเพลง : Jeff Satur - Tell Me The Name บอกมาใครทำร้ายเธอ แปลเพลง : IV OF SPADES - Come Inside Of My Hear ก้าวเข้ามาในใจฉันดู แปลเพลง : Addison Rae - Diet Pepsi จิบเท่าไรก็ไม่พอ Miles Kane ประกาศอัลบั้มใหม่ Sunlight In The Shadows โปรดิวซ์โดย Dan Auerbach

Follow us on

  •  Facebook
  •  Twitter
  •  Instagram
  •  Youtube

ติดต่อเรา

  •  sepsakon@gmail.com

เสพย์สากล

Music in whatever