Blur vs Oasis ใครคือผู้ชนะในศึกแห่งศักดิ์ศรีของ ‘สงครามบริตป๊อป’
หากพูดถึงยุคบริตป๊อป (Britpop) แน่นอนว่าเราต้องนึกถึงการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมดนตรีของอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 90 ซึ่งมีหลายวงดนตรีที่สลับกันขึ้นมามีบทบาทในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะ ‘กลุ่มจตุรเทพ’ ได้แก่ Pulp, Suede, Blur และ Oasis ที่มีอิทธิพลอย่างมากในการผลักดันให้ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกและป๊อปร็อกบนเกาะอังกฤษเข้าสู่ยุคสมัยที่เฟื่องฟูที่สุด
แม้จุดเริ่มต้นที่แน่ชัดยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ‘บริตป๊อป’ ได้สร้างคุณูปการต่อวงการดนตรี อีกทั้งยังสร้างมาร์เก็ตติ้งที่แข็งแรงซึ่งมีแรงกระเพื่อมสำคัญต่อวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ และแฟชั่น รวมถึงยังได้แจ้งเกิดศิลปินหลายคนให้เป็นที่รู้จักมาถึงทุกวันน
สำหรับเหตุการณ์สำคัญที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดแห่งยุคสมัย คงต้องยกให้ “สงครามบริตป๊อป” (The Battle of Britpop) ซึ่งถือเป็นศึกประชันศักดิ์ศรีเพื่อแย่งชิงตำแหน่งจ้าวแห่งบริตป๊อปของ 2 วงดนตรีชื่อดังบนเกาะอังกฤษ ที่เปรียบเสมือนเสือ 2 ตัวที่อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้… นั่นคือ Blur และ Oasis
เดิมทีทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมวงการที่เคยไปเข้าสตูดิโอซ้อมเพลงด้วยกัน เคยไปให้สัมภาษณ์รายการวิทยุเดียวกัน แต่ยุคสมัยที่เข้มข้นฉูดฉาดก็มาพร้อมๆ กับการสร้างกระแสของสื่อดนตรีสำนักต่างๆ ที่มักจะยกชื่อของวง Blur และ Oasis มาวิจารณ์เปรียบเทียบกัน
ต้องเข้าใจว่าในยุคนั้นไม่ได้มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีระบบสตรีมมิ่ง ศิลปินเองก็ต้องประชาสัมพันธ์ผลงานเพลงของตนเองผ่านสื่อหลักอย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวิทยุเท่านั้น ขณะที่แฟนเพลงเองก็ทำได้เพียงตามไปชมคอนเสิร์ต ซื้อแผ่นเพลงของศิลปินมาฟัง และรอติดตามบทสัมภาษณ์ผ่านนิตยสารดนตรีเท่านั้น สื่อจึงมีอิทธิพลอย่างมากในการประโคมข่าวภาพลักษณ์ของศิลปิน
ประเด็นสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือทั้ง 2 วงดนตรี มีที่มาและภูมิหลังไม่เหมือนกัน สมาชิกวง Blur มาจากครอบครัวชนนั้นกลางในกรุงลอนดอน ส่วนสมาชิก Oasis มาจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าธีมเนื้อหาเพลงของพวกเขาก็ค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กลายเป็น 2 วงดนตรีที่เหมือนจะมีจุดร่วมแต่ก็มีขั้วความต่างในหลายๆ เรื่อง
งานประกาศผลรางวัล BRIT Awards ประจำปี 1995 วง Blur กวาดไปทั้งสิ้น 5 รางวัล รวมถึงรางวัลศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม (ซึ่งมีรายชื่อ Oasis เข้าชิงด้วย) ขณะขึ้นรับรางวัล ‘ดาม่อน อัลบาร์น’ ฟรอนต์แมนวง Blur กล่าวว่า “เราควรจะแชร์รางวัลนี้กับ Oasis” หลังจากนั้น Graham Coxon มือกีตาร์ก็กล่าวสมทบว่า “ด้วยรักและเคารพพวกเขานะครับ” ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่า Blur พูดจริงหรือแซวเล่นกันแน่
แต่นับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ดูเหมือนว่าศึกแย่งชิงจ้าวแห่งบริตป๊อประหว่าง Blur และ Oasis จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ (ก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีบรรยากาศแข่งขันมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่แสดงออกกันอย่างชัดเจน) โดยเฉพาะทางฝั่งพี่น้องกัลลาเกอร์แห่ง Oasis อย่าง ‘โนล’ และ ‘เลียม’ ที่ขยันแซะวง Blur ซะเหลือเกิน แม้ในเวลาปกติทั้งคู่จะทะเลาะกันเอง แต่เมื่อไรที่พูดถึงคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม พี่น้องกัลลาเกอร์จะสามัคคีกันดีมาก
นอกจากนี้ ดาม่อน อัลบาร์น เคยเล่าว่าเขาไปร่วมงานปาร์ตี้ฉลองของวง Oasis เนื่องในโอกาสที่ซิงเกิ้ล “Some Might Say” ทะยานขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของเกาะอังกฤษในปี 1995 “ผมตั้งใจจะไปเดินไปแสดงความยินดีกับพวกเขา แต่เลียมกลับเดินตรงมาหาแล้วพูดข่ม ‘พวกกูคืออันดับที่ 1’ ใส่หน้าผมไม่หยุด”
กระแสการแบ่ง #ทีมBlur และ #ทีมOasis ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันแฟนเพลงของทั้ง 2 วงก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พวกเขาผลัดกันขึ้นปกนิตยสารเล่มดัง พร้อมทั้งแซะผ่านสื่อกันไปมา จนกระทั่งกลายเป็นวงดนตรียุคบริตป๊อปที่มีสีสันที่สุด แต่ผู้ชนะต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น!
จะทำอย่างไรจึงจะสามารถวัดกระแสความนิยมให้ออกมาเป็นหลักฐานในเชิงปริมาณได้ ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าตัวเองมีดี โดยเฉพาะฟรอนต์แมนฝั่ง Oasis ที่ดูเหมือนจะออกนอกหน้าเกินกว่าใครเพื่อนว่าอยากจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ในที่สุดสังเวียนศักดิ์ศรีบริตป๊อปที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดก็เกิดในวันที่ 14 สิงหาคม 1995 เมื่อวง Blur และ Oasis ทำข้อตกลงกันว่าจะปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกันเพื่อให้แฟนเพลงชาวอังกฤษตัดสินว่า…ใครคือผู้ที่คู่ควรกับตำแหน่งจ้าวแห่งบริตป๊อปมากที่สุด
ทางฝั่ง Blur ปล่อยเพลง “Country House” จากอัลบั้ม The Great Escape ลงสนามประลอง ขณะที่ฝั่ง Oasis ปล่อยเพลง “Roll With It” จากอัลบั้ม (What's the Story) Morning Glory? เข้าร่วมประชัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า ‘สงครามบริตป๊อป’
สื่อดนตรีเฝ้าจับตามองการประชันในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ถึงกับเปรียบเทียบว่าพวกเขาก็เหมือนวง The Beatles และ The Rolling Stones (แน่นอนว่าฝั่ง Oasis จองเป็น The Beatles) โดยเวลาในการแข่งขันจะสิ้นสุดลงภายใน 1 สัปดาห์
ซิงเกิ้ลของทั้ง 2 วงดนตรี ทะยานขึ้น UK Singles Chart อย่างรวดเร็ว เรียกว่าสูสีคู่คี่และผลัดกันครองอันดับ 1 และ 2 ชนิดที่ต้องติดตามกันวันต่อวัน จนกระทั่งวันที่ 20 สิงหาคม ถือว่าครบกำหนด 7 วัน ถึงเวลานับคะแนนของแต่ละฝ่าย ปรากฏว่าวง Blur มียอดจำหน่ายซิงเกิ้ล 274,000 ก็อปปี้ ขณะที่ Oasis มีจำนวน 216,000 ก็อปปี้
สรุปผลคือวง Oasis พ่ายแพ้ Blur เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ส่วนอันดับเพลงบนชาร์ต อันดับ 1 เป็นของ Blur ส่วนอันดับ 2 เป็นของ Oasis สอดคล้องกับยอดจำหน่ายแผ่นซิงเกิ้ล ซึ่งฟรอนต์แมนทั้ง 2 วงได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์สงครามบริตป๊อปของปี 1995 ไว้ดังนี้
เดม่อน อัลบาร์น: “ตอนนั้นผมไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว ไม่รับรู้ข่าวสารอะไรเลย จนกระทั่งบินกลับมาลอนดอน ผมเดินไปตามถนนแล้วมีแฟนเพลงสาวๆ และนักข่าวมารุมล้อม หลังจากนั้นค่ายเพลงก็โทรศัพท์หาผมแล้วบอกว่าเขาค่อนข้างมั่นใจกับการแข่งขันครั้งนี้แล้วล่ะ วันต่อมาผมไปเตะฟุตบอล ทีมงานก็ปรากฏตัวขึ้นและแจ้งข่าวว่าพวกเราชนะ สุดยอดไปเลย"
เลียม กัลลาเกอร์: "ผมแคร์เรื่องนี้ว่ะ เพราะผมอยากเป็นที่ 1 ผมคิดว่าเพลง Roll With It ของเรามันเจ๋งมาก ผมเจออเล็กซ์ เจมส์ (มือเบสวง Blur) ที่ผับแล้วบอกเขาว่า 'ยินดีด้วยนะที่มึงได้ที่ 1 มันเป็นเรื่องของเวลาว่ะ' อเล็กซ์ตอบกลับว่า 'แต่เพลงของพวกเรามันห่วยแตกกันทั้งคู่นั่นแหละ' ผมเลยพูดว่า 'ไม่ๆ มึงผิดแล้ว นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมกูถึงเกลียดวงของมึงและตัวมึง เพราะกูคิดว่าเพลงวงกูมันดีกว่าเว้ย' หลังจากนั้นเราก็ซี้ดยากัน"
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะทำให้พี่น้องกัลลาเกอร์ไม่สบอารมณ์และตามแขวะวง Blur เรื่อยมา จนกระทั่ง ‘โนล กัลลาเกอร์’ (มือกีตาร์ Oasis) ไปให้สัมภาษณ์นิตยสาร Observer ฉบับเดือนกันยายน 1995 โดยแช่งให้ ‘อเล็กซ์ เจมส์’ และ ‘ดาม่อน อัลบาร์น’ เป็นเอดส์ตาย จนกลายเป็นข่าวฉาวใหญ่โตในเวลานั้น"ผมเกลียดอเล็กซ์ เจมส์ (มือเบส) และดาม่อน อัลบาร์น (ฟรอนต์แมน) ผมขอให้พวกเขาเป็นเอดส์และตาย"
ปากเป็นเหตุทำให้โนลถูกสังคมวิจารณ์อย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ ‘เพ็กกี้ กัลลาเกอร์’ แม่ของโนลก็ยังไม่พอใจ ถึงกับสั่งให้ลูกชายถอนคำพูดและขอโทษวง Blur ทางด้านโนลเองแม้จะตีมึนในทีแรก แต่กระแสด้านลบกลับมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความนิยมของวง Oasis ด้วย ในที่สุดโนลก็เขียนจดหมายเปิดผนึกเพื่อขอโทษอย่างเป็นทางการ เนื้อหาระบุว่า...
"ผมอยากจะขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความคิดเห็นของผม เรื่องที่ผมพาดพิงถึงดาม่อน อัลบาร์น และอเล็กซ์ เจมส์ ในบทความของ Observer ฉบับวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมพูดไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน คิดเพียงว่าเป็นส่วนหนึ่งของสงครามน้ำลายระหว่าง 2 วงดนตรี นี่ก็น่าจะเป็นครั้งที่ 50 แล้วมั้งที่ผมพูดแขวะถึงวง Blur ผมพูดประโยคนี้ออกไประหว่างการให้สัมภาษณ์ ผมตระหนักแล้วว่าการพูดเรื่องเอดส์ด้วยความรู้สึกตายด้านนั้น ไม่ใช่เรื่องตลกและไม่ใช่สิ่งที่สมควรเลย ผมจึงขอถอนคำพูดเดี๋ยวนั้นเลย
แต่ปรากฏว่าเมื่อผมหยิบ Observer ขึ้นมาอ่าน ก็พบว่านักข่าวได้เลือกที่จะหยิบยกคำพูดนั้นมานำเผยแพร่แล้ว ใครก็ตามที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมาโดยตลอด รวมไปถึงผู้ที่ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยที่กำลังทุกข์ทรมานจากโรคเอดส์ แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นแฟนเพลงของพวกเขา (วง Blur) แต่ผมขอให้ทั้งดาม่อนและอเล็กซ์ มีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข"
หลังจาก Oasis ปล่อยอัลบั้มชุด (What's the Story) Morning Glory? ในปี 1995 ก็ต้องยอมรับว่าเป็นจุดที่พาพวกเขาไปยืนอย่างภาคภูมิใจในฐานะวงดนตรีแนวหน้าของเกาะอังกฤษ บทเพลง “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” จากอัลบั้มชุดนี้ผลักดันให้พวกเขาได้เล่นคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 250,000 คนเดินทางมาชม
นอกจากนี้ Oasis ยังคว้าอีกหลายรางวัลจากเวที BRIT Awards ประจำปี 1996 ไปครอง ซึ่งรวมถึงรางวัลสาขาวงดนตรียอดเยี่ยมที่วง Blur เคยได้รับเมื่อปี 1995 ตอนขึ้นไปรับรางวัลพี่น้องกัลลาเกอร์ได้กล่าวขอบคุณบนเวที พร้อมทั้งแท็กทีมกันร้องเพลง “Parklife” ของวง Blur แต่เลียมได้เปลี่ยนเนื้อร้องจากคำว่า Parklife เป็น shite-life (ชีวิตเฮงซวย) พร้อมทั้งนำถ้วยรางวัลทำท่าแหย่ก้นโชว์นักข่าว จนกลายเป็นอีกหนึ่งวีรกรรมแสบที่ถูกพูดถึงอย่างมาก
นี่เป็นเพียงเรื่องราวสนุกๆ ที่ตอกย้ำถึงความรุ่งเรื่องของยุคบริตป๊อบในอดีต แต่น่าเสียดายที่ภายหลังปี 1997 เป็นต้น ยุคบริตป๊อปก็เริ่มโรยรา วง Blur มีบทบาทจนถึงผลงานอัลบั้มชุด “Think Tank” ในปี 2003 ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานเพลงส่วนตัว ขณะที่ Oasis ก็ยุติบทบาทของวงในปี 2009 หลังโนล กัลลาเกอร์ ประกาศลาออกจากวง ทิ้งประวัติศาสตร์ของยุคดนตรี ‘บริตป๊อป’ ไว้เป็นดั่งความทรงจำในวันวานที่ยังคงเต็มไปด้วยสีสันทางดนตรี ซึ่งสามารถสร้างเสียงเฮฮาได้ในทุกครั้งที่เรื่องราวเหล่านั้นถูกหยิบมาเล่าสู่กันฟังในแวดวงดนตรี
Source:
- หนังสือ Brothers: from Childhood to Oasis: The Real Story
- Blur and Oasis’ big Britpop chart battle – the definitive story of what really happened
Story By: All About RKID