Limp Bizkit กับบทเพลงสะท้อนยุคทองนูเมทัลใน Mission: Impossible 2
ยุค 2000s เป็นช่วงเวลาเฟื่องฟูถึงขีดสุดของดนตรีนูเมทัล กระแสดนตรีแนวนี้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อวงการภาพยนตร์ ซึ่งมีหลายเรื่องได้นำเพลงนูเมทัลมาใช้ในซาวด์แทร็ก เช่น Queen of the Damned (2002) ที่มี Deftones, Disturbed, Static-X, Chester Bennington (Linkin Park) มาร่วมราวกับเป็นกองทัพนูเมทัล รวมถึง Jonathan Davis (Korn) รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมในอัลบั้มซาวด์แทร็ก
เช่นเดียวกับหนังแอ็กชั่นภาคต่อฟอร์มยักษ์ Mission: Impossible 2 ที่ทำการตลาดโดยการใช้เพลงเป็นตัวโปรโมท โดยอิงกระแสแร็ปร็อกและนูเมทัลที่กำลังมาแรงในขณะนั้น แม้จะเป็นภาคที่ไม่ได้ดีที่สุดในแฟรนไชส์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลง "Take A Look Around" ของ Limp Bizkit ได้กลายภาพจำสำคัญเวลานึกถึงหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนเพลงร็อกและเมทัล
เดิมที Limp Bizkit ไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับโปรเจกต์นี้ โดย Hans Zimmer และโปรดิวเซอร์ซาวด์แทร็ก Mitchell Leib ได้ทาบทามศิลปินกว่า 20 คน รวมถึง Korn, Moby, Chemical Brothers, J. Mascis (Dinosaur Jr.) และ New Order แต่หลายเดโมเพลงที่ส่งมายังไม่ตอบโจทย์ธีมของหนัง บางศิลปินทำเพลงอย่างเร่งรีบ ขณะที่ Korn ต้องปฏิเสธดีลนี้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องตารางเวลา
สุดท้ายหวยจึงมาลงที่ Limp Bizkit วงนูเมทัลที่กำลังโด่งดังจาก “Nookie” แม้จะเป็นงานที่ต้องทำตามโจทย์ด้วยการนำทำนองไอคอนิกของหนังมาเป็นองค์ประกอบหลัก แต่วงก็นำมาผสมเข้ากับสไตล์นูเมทัลได้อย่างเมามัน ถึงขนาดที่ Hans Zimmer ต้องยกนิ้วให้ เพราะเขาทราบดีว่าการนำดนตรีประกอบมารวมกับเพลงนูเมทัลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"Take A Look Around” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทะยานติดอันดับ Top 20 ในชาร์ต Modern Rock Airplay ของ Billboard ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายเสียอีก ต่อมาเพลงนี้ได้อยู่ในอัลบั้ม Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water (2000) หนึ่งในอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จและแมสที่สุดของ Limp Bizkit