พูดคุยกับ Grey Daze อดีตวงดนตรีของ Chester Bennington กับอัลบั้มแห่งความระลึกถึง 'Amend'
หากพูดถึง Chester Bennington ทุกคนล้วนจดจำเขาได้ในฐานะนักร้องนำ Linkin Park ผู้มีบทบาทตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก Hybrid Theory จนถึงอัลบั้มล่าสุด One More Light ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเชสเตอร์กับวง Linkin Park
แต่ก่อนที่จะมาแจ้งเกิดกับ Linkin Park เชสเตอร์เคยเป็นนักร้องนำของ Grey Daze วงดนตรีร็อกที่มีผลงานช่วงยุค 90s แต่สุดท้ายวงก็ต้องยุติบทบาทลง ในขณะที่เชสเตอร์ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ Linkin Park
ถึงแม้เชสเตอร์จะจากไปเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ทุกคนยังนึกถึงเขาอยู่เสมอ เช่นเดียวกับสมาชิกของ Grey Daze ที่ได้นำวัตถุดิบเพลงที่มีเสียงร้องเชสเตอร์มาบันทึกเสียงใหม่ ประกอบเป็นอัลบั้มชุด Amends เพื่ออุทิศให้กับเชสเตอร์
ล่าสุดอัลบั้ม Amends ก็ได้ถูกปล่อยอย่างเป็นทางการแล้ว และวันนี้เสพย์สากลได้มีโอกาสพูดคุยกับ Sean Dowdell มือกลอง Grey Daze ถึงกระบวนการทำงานในอัลบั้ม Amends รวมถึงมุมมองต่อเชสเตอร์ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
อยากให้คุณนึกย้อนกลับไปในยุค 90's และช่วยเล่าให้เราฟังหน่อย ทำไมวง Grey Daze ถึงไม่ได้ไปต่อ และอะไรทำให้เชสเตอร์ลาออกเพื่อไปอยู่วง Linkin Park
จริงๆแล้วเราก็ประสบความสำเร็จในฐานะวงระดับท้องถิ่นช่วงตลอดปี 1998 แต่เราดันไปเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พร้อมๆ ที่กับทางวงเองก็มีปัญหาภายในกัน จริงๆ ช่วงนั้นพวกเราเป็นวงที่สามารถดึงดูดคนจำนวนมากให้มาดูเราแสดงได้ อัลบั้มของพวกเราก็ขายค่อนข้างดี แถมยังมีเพลงเปิดตามสถานีวิทยุถึงสองเพลงด้วยกัน
แต่สุดท้ายแล้วบางคนในวงก็มีปัญหาเรื่องยาเสพติดจนทำให้เกิดการทะเลาะถึงขั้นชกต่อย จนวันหนึ่งเราทะเลาะกันใหญ่โตจนต้องแยกทางกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ทำใจได้ยากแต่ก็จำใจ แต่ผมก็ต้องบอกว่าพวกเราภูมิใจมากที่เชสเตอร์ได้ไปอยู่กับ Linkin Park
พวกคุณตัดสินใจได้ตอนไหนว่าอยากจะปัดฝุ่นโปรเจ็คนี้ขึ้นมาอีกครั้งและปล่อยเพลงเหล่านี้ให้ทุกคนได้ฟังกัน
เราหยุดทุกอย่างไว้ 6 ถึง 8 เดือนหลังจากที่เชสเตอร์จากพวกเราไป แต่มันเป็นสิ่งที่คาใจผมในทุกๆวันตั้งแต่วันงานศพของเขา จนกระทั่งผมทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาทำมันให้เสร็จนี่แหละ
การตัดสินใจเดินหน้าโปรเจ็คนี้ต่อและปล่อยเพลงออกมาเป็นสิ่งที่ทำใจยากขนาดไหน
ในตอนที่เราตัดสินใจจะทำงานกันต่อนั้น ผมต้องพูดคุยกับทุกคนที่เกี่ยวข้องให้เคลียร์ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมวง ทั้ง Talinda (อดีตภรรยาของเชสเตอร์) และครอบครัวของเขา เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจถึงความตั้งใจที่แท้จริงในการทำโปรเจ็คนี้ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจและยอมให้ทำ ตราบใดที่ทำด้วยความเคารพ ทำอย่างมีความหมาย และผมเชื่อว่าเราให้เกียรติเขาทุก ๆ ครั้งที่เราสามารถทำได้
เหตุผลที่พวกคุณตั้งชื่ออัลบั้มว่า “Amends” (การชดเชย)
จริงๆแล้วมันก็สามารถแปลได้ทั้งแบบตรงตัวและอุปมาอุปมัย แต่หลักๆ แล้วเราก็ตั้งชื่อจากการจากไปของเชสเตอร์ เขากับผมเขียนเพลงที่มีชื่อว่า “Morei Sky” ด้วยกัน เนื้อเพลงมันเหมือนเป็นการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ และยกระดับความหมายของบทเพลงในอัลบั้มนี้ขึ้นไปอีก
จริงๆแล้วมันเป็นไอเดียของคริสตินที่อยากใช้คำว่า “Making Amends” (ทำการชดเชย) ซึ่งเกิดจากเพลงนั้น แต่เราตัดให้สั้นเหลือแค่คำว่า “Amends” ซึ่งชื่อนี้มีความหมายมากสำหรับพวกเราและเรารู้สึกว่ามันทำให้เราและแฟนๆสามารถสร้างเกราะป้องกันในชีวิตเผื่อการเผชิญหน้ากับปัญหาได้
บทเพลงในอัลบั้มนี้ถูกอัดใหม่ทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ววัตถุดิบต่างๆ ถูกแต่งขึ้นในช่วงแรกๆ ของวง พวกคุณพบอุปสรรคการทำงานบ้างหรือไม่
มันโคตรยากเลยครับ เพราะว่าเราเริ่มจากศูนย์และเขียนมันขึ้นมาใหม่หมด นี่เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราใช้เวลาไปกว่าสองปีครึ่งในการทำมัน แต่ถึงมันจะยากยังไง มันก็คุ้มทุกวินาทีเลย
คุณได้ศิลปินเบอร์ใหญ่ๆมาช่วยเยอะมากในอัลบั้มนี้ อย่างเช่น Head จาก Korn, Page Hamilton จาก Helmet, Marcos จาก P.O.D. และอีกเพียบ พวกเขาเข้ามาร่วมได้ยังไงบ้าง?
พวกเราได้ศิลปินตัวท็อปมาช่วยเราในสตูดิโอหลายคนเลยในอัลบั้มนี้ Head และ Munky มาเล่นในเพลง “B12” ครับ พวกเขาคือสองคนแรกที่พวกเราเชิญมาเล่นในอัลบั้ม โดย Head กับผมเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้วครับ แต่ผมกับ Munky รู้จักกันแค่นิดหน่อย
วันนึงผมทักแชท Head ไปแล้วก็ส่งเพลงให้เขาฟัง เขาโทรหาผมเดี๋ยวนั้นเลย เขาบอกว่าตัวเพลงมันดีมากจนเขาตกใจ ตอนที่คุยกันนั้นผมถามเขาว่าอยากจะมาเป็นแขกรับเชิญมั้ย ซึ่งเขาก็ตกลงครับ หลายวันต่อมาเขาติดต่อผมอีกรอบแล้วถามว่า Munky จะขอมาแจมด้วยได้มั๊ย ตอนนั้นผมนี่ช็อคไปเลย ฮ่าๆๆ ส่วนเพื่อนๆในวงตอบพร้อมกันทันที “ได้สิวะ”
พวกเขาทำงานในสตูดิโอแบบมืออาชีพมากๆ อย่างเช่นเตรียมตัวแต่งท่อนกีต้าร์มาแบบพร้อมอัดทันที อะไรประมาณนั้นเลย มันเจ๋งมากที่ได้เล่นกับพวกเขา และเชสเตอร์ก็คงอยากจะเล่นกับพวกเขาแน่ๆ เขาชอบวง KoRn พวกเขาป็นอิทธิพลสำคัญของเชสเตอร์และวงเรา นอกจากนั้น Head ก็ยังได้เล่นกับ Jasen Rauch แห่ง Breaking Benjamin ในเพลง “She Shines”
นี่เป็นการทำงานต่อจากเพลง “B12” ครับ Esjay Jones โปรดิวเซอร์หญิงของเราแนะนำพวกเราให้ Jasen รู้จัก เธอเล่าเรื่องโปรเจ็คของเราให้เขาฟังและเขาอยู่เมืองเดียวกับ Head พอดี เราเลยขอให้เขามาร่วมกับเราในเพลง She Shines และพวกเขาจัดเต็มให้เลยครับ เชสเตอร์กับพวกเราเองก็เป็นแฟนเพลงของ Breaking Benjamin เช่นกันโดยเฉพาะอัลบั้มแรก
เราได้ Chris Traynor จากวง Bush มาเล่นกีต้าร์ในเพลง “Soul Song”, “Just like Heroin”, “What’s in the Eye”, และ “Sometimes” ครับ Kyle Hoffman ซาวด์เอ็นจิเนียของเราเป็นคนแนะนำให้เรารู้จักกับ Chris ครับ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน โดย Kyle เปิดเพลงให้ Chris ฟังแล้ว Chris ก็สนใจที่จะมาร่วมด้วยครับ จริงๆ แล้วเขาแทบจะกลายเป็นสมาชิกคนที่ห้าของวงด้วยซ้ำเพราะสุดท้ายอัดไปถึงสี่เพลงเลยครับ เขาทำงานออกมาได้ดีมากๆเลย พวกเรารักวง Bush และพวกเขามีอิทธิพลกับพวกเราในยุคแรกๆ ครับ
เราได้ LP (Laura Pergolizzi) มาร้องดวลกับเชสเตอร์ในเพลง “Shouting Out” LP เป็นเพื่อนของเพื่อนเราที่ชื่อว่า Rene Mata ครับ เขารู้ว่าเชสเตอร์ชอบเสียงของ Laura มากๆ ตอนนั้นผมออกไอเดียว่าอยากได้เสียงของผู้หญิงมาร้องคู่กับเชสเตอร์ เขาก็โพล่งชื่อของเธอออกมา ผมเลยนึกย้อนกลับไปตอนที่ผมนั่งอยู่ในรถของเชสเตอร์ ตอนนั้นก็พรรณนาถึงนักร้องหน้าใหม่คนนึงที่เขาหลงใหลอย่างหัวปักหัวปำ เขาเปิดเพลง “Lost on you” ให้ผมฟัง เขารักเสียงร้องของผู้หญิงคนนี้มากๆครับ และพอ Rene ติดต่อไป LP ก็ตอบตกลงในทันทีครับ เธอคือสุดยอดศิลปินเลยจริงๆครับ Cristin เป็นแฟนเพลงของเธอด้วยเหมือนกัน เลยทำตัวเหมือนพวกบ้าดารานิดหน่อยตอนทำงานหน่ะครับ
ในขณะที่ Marcos Curiel มาเล่นให้เราในเพลง “What’s In the Eye” ทาง Rene Mata เป็นคนแนะนำเราอีกครั้ง โดยทั้ง Rene, Marcos และเชสเตอร์เป็นเพื่อนสนิทกันครับ มันเลยเป็นการตัดสินใจที่ง่ายที่สุดในโลกจากความสัมพันธ์ของพวกเขานี่แหละครับ
Page Hamilton จากวง Helmet มาอัดเพลง “Sickness” และ Cristin เป็นแฟนตัวยงของ Page และเชสเตอร์ก็รักในตัวตนของเขาเช่นกัน Rene เลยพาเขามา แต่ตอนนั้นเราทำเพลงเกือบเสร็จแล้ว Page มาเป็นส่วนเติมเต็มให้เพลงนี้สุดยอดมากขึ้นครับ สุดท้ายเราได้ Jaime Bennington ลูกของเชสเตอร์ มาร้องคอรัสในเพลง “Soul Song”
เราอยากตอบแทนเชสเตอร์บ้างครับ ซึ่งเรื่องนี้ผุดมาในหัวเราตอนเข้าสตูดิโอในวันที่สองหรือสามนี่แหละ มันเหมือนโดนฟ้าผ่าเลย เพราะเชสเตอร์ไม่เคยมีโอกาสได้อัดเพลงกับลูกๆเขาเลย นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ทำอะไรคืนให้กับเขาบ้าง นอกจากนั้นก็ยังได้เติมเต็มความฝันของครอบครัวเขาอีก หวังว่าอัลบั้มหน้าเราจะได้ลูกๆ คนอื่นของเขามาร้องเพลงกับพ่อเขานะครับCara Faye มาร้องคอรัสในเพลง “The Syndrome” Rene Mata แนะนำเราอีกครั้ง โดยเธอรู้จักกับเชสเตอร์ และอยากจะมาทำงานด้วยครับ ซึ่งมันลงล็อคพอดีเลย เธอเยี่ยมมากครับ
Brennen Brochard มาตีกลองในเพลง “B12” และ Carston Dowdell ตีกลองในเพลง “The Syndrome” ทั้ง Brennen และ Carston คือลูกชายผมทั้งสองคนครับ พวกเขาเป็นมือกลองทั้งคู่และผมก็อยากจะพาลูกๆมาร่วมในโปรเจ็คนี้ด้วยครับ พวกเขาทำหน้าที่ได้ดีมากและผมโคตรภูมิใจเลย พวกเขารักเชสเตอร์ และเขาก็รักพวกเขาเช่นกันครับ เพราะเมื่อก่อนพวกเราเคยได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวของเชสเตอร์มามากมายเลยครับ
นอกจากนั้น Carston ก็ยังได้ตีกลองในเพลง “The Syndrome” ด้วยครับ ในเพลง “In Time” เราได้ Ryan Shuck มาเล่น ทั้ง Ryan, เชสเตอร์และผมเป็นเพื่อนสนิทกันและก็เคยเล่นในด้วยกันในไซด์โปรเจ็คอื่นๆในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ การทำงานกับ Ryan เลยเป็นเรื่องที่ไหลลื่นมากๆครับ สุดท้ายเราก็ได้เพลงดีๆที่เราทำร่วมกัน
เล่าถึงการคัดเพลงลงในอัลบั้ม Amends
พวกเราเลือกมาก่อนทั้งหมด 17 เพลงที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับอัลบั้มแรก และเราก็ลดเหลือ 11 เพลง โดยเราทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีเพลงไหนหลุดไปจากธีมและมู๊ดของอัลบั้มเลย
แล้วการทำอัลบั้มนี้เป็นการวางแผนไว้ก่อนหรือหลังจากการเสียชีวิตของเชสเตอร์
เราวางแผนไว้ก่อน จริงๆแล้วเราเริ่มทำไว้สามเพลงก่อนที่เชสเตอร์จะจากพวกเราไป โดยเราวางแผนให้เขาได้อัดเสียงจากที่ที่เขาไปทัวร์อยู่ หรือเราอาจจะส่งโปรดิวเซอร์ไปอัดเสียงเขาด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วเราวางแผนให้อัลบั้มนี้วางแผงตอนปลายปี 2017
แน่นอนว่าแฟนๆ หลายคนต่างช็อคกับการจากไปของเชสเตอร์ พวกเขาสร้างช่องว่างในหัวใจให้กับคนทั้งเจเนเรชั่นที่ไม่สามารถจะเติมเต็มได้อีก คุณได้ข่าวว่าเขาจากไปตอนไหน และคุณเคยทราบเรื่องอาการซึมเศร้าของเขามั้ย
ตอนนั้นผมกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ที่ลาสเวกัส จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ผมดังและได้รับข้อความไม่หยุด ผมเลยต้องขอพักจากจากสัมภาษณ์มาเพื่อรับโทรศัพท์จากภรรยาผม เธอบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมช็อคไปทันทีและไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้น
ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องอำกันในตอนแรก ผมโทรหาเชสเตอร์ไม่หยุดเลย โดยคิดว่าเขาอาจจะรับโทรศัพท์ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เกิดขึ้น ผมเลยโทรหา Talinda ภรรยาของเขาหลังจากไม่กี่นาทีที่ผมทราบข่าว เธอรับโทรศัพท์และบอกว่ามันคือเรื่องจริง ซึ่งเธอก็ยังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ เธอขอให้ผมไปช่วยเหลือครอบครัวเธอหน่อย ซึ่งผมก็ทำตามนั้นครับ
ผมคุยกับเชสเตอร์ค่อนข้างบ่อยนะครับ จริงๆแล้วสองวันก่อนหน้าผมก็เพิ่งคุยกับเขาไป ซึ่งเขาก็ยังดูดีอยู่เลย ผมไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วเรามีนัดซ้อมดนตรีกันกับ Grey Daze ในวันอาทิตย์ที่ฟินิกซ์ด้วยซ้ำไป
เชสเตอร์ดูเป็นคนมีอารมณ์ขันในการออกสื่อ แต่จริงๆ แล้ว เขาเป็นคนยังไง
เขาเป็นคนที่จริงใจที่สุดคนนึงที่ผมเคยรู้จัก ไม่มีความเกลียดชังออกจากตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียวและเขามักจะเป็นคนที่หลีกเลี่ยงการปะทะเป็นที่สุด เขาจิตใจดี ใจกว้างและเป็นที่รัก เขาเป็นพ่อและสามีที่ดี รวมไปถึงเป็นเพื่อนร่วมวง เป็นเพื่อนและหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม เขาชอบช่วยเหลือผู้อื่น เขาเป็นคนที่ตลกมาก เราชอบหัวเราะด้วยกัน และทำตัวบ้าๆ ไปด้วยกัน
ทำไมการกลับมารวมตัวกันถึงใช้เวลานานมาก ซึ่งเท่าที่เราทราบมา จริงๆแล้วคุณกับเชสเตอร์ก็เป็นหุ้นส่วนร้านสักด้วยกัน
จริงๆ แล้วเราคุยเรื่องการกลับมารวมตัวกันของ Grey Daze หลายครั้งแล้วครับ ครั้งนึงตอน 2002/2003 อีกครั้งคือ 2007/2008 และสุดท้ายแล้วเรามาเริ่มกันจริงๆในปี 2016 และใช่ ผมกับเชสเตอร์ทำบริษัทชื่อ Club Tattoo ด้วยกันซึ่งเราเปิดบริการรับสักและเจาะแบบ Luxury ซึ่งเรามีทั้งหมด 7 สาขาด้วยกันทั้งลาสเวกัสและแอริโซนา ซึ่งมันคือแพชชั่นของเราทั้งคู่เลย
แล้ว Jamie ลูกชายของเชสเตอร์เข้ามาทำอัลบั้มนี้ร่วมกับคุณได้อย่างไร
ผมนึกได้ว่าอยากให้ลูกๆของเชสเตอร์ ได้มีส่วนร่วมตอนที่ทำอัลบั้มไปได้ครึ่งทางแล้วครับ ผมคิดว่ามันจะเป็นของขวัญให้กับเชสเตอร์ และครอบครัวของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเขาไม่เคยได้มีโอกาสได้อัดเพลงกับลูกๆของเขาเลย ผมรู้ว่าเชสเตอร์อยากจะทำแบบนี้ถ้าเขามีโอกาส ผมเลยลองคุยกับลูกเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็น Jaime, Draven, Tyler, Lily และ Lila
Talinda ภรรยาของเชสเตอร์บอกว่าลูกคนเล็กสามคนนั้นเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจในตอนนั้น ซึ่งผมเคารพและเข้าใจดี Draven ก็ยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะพร้อมที่จะร้องเพลงกับพ่อของเขาตอนอัลบั้มหน้า แต่ Jaime ตอบตกลงทันที ซึ่งเขาแก่กว่าและเข้าใจกับสถานการณ์เป็นอย่างดีและเชื่อมั่นในตัวผม เขาเลยตกลงและมาร้องในเพลงที่ชื่อว่า Soul Song เขาร้องคอรัสให้กับพ่อของเขาและทำได้ดีมากๆ พ่อของเขาต้องภูมิใจมากๆ เลย
แต่ก็มีคนบางส่วนที่ไม่พอใจกับโปรเจกต์นี้ โดยมองว่านี่คืออัลบั้มที่ฉวยผลประโยชน์จากการจากไปของเชสเตอร์
แน่นอนว่ามันต้องมีมนุษย์ที่มีทัศนคติด้านลบอยู่บ้างที่ไม่รู้ว่าโปรเจ็คนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง และคิดว่าเราพยายามจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากอัลบั้มนี้ (ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับการขายอัลบั้มเพียงอย่างเดียว) ผมไม่มีเวลาไปสู้รบกับคนพวกนี้หรอก พวกเขาไม่พยายามที่จะอ่านประวัติของวงหรือเรื่องราวความสัมพันธ์ของผมกับเชสเตอร์ด้วยซ้ำ
ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งแชร์เรื่องราวและพยายามโน้มน้าวใจทุกคน นี่เป็นสิ่งที่เชสเตอร์คิดและเป็นความฝันของเขาที่อยากจะพาวงกลับมารวมตัวกัน เขารักเพลงเหล่านี้และมีแพชชั่นกับการเล่นกับวงอีกครั้ง สำหรับคนที่ไม่ยอมเข้าใจมันและไม่ยอมรับ มันเป็นปัญหาของพวกเขา ผมไม่สามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้หรอก
ผมได้ดูเชสเตอร์ต้องทนกับทัศนคติแย่ๆ ในอัลบั้ม One More Light จากแฟนๆผู้โกรธเกรี้ยวทั้งหลายที่พยายามฉีกทึ้งเขา เชสเตอร์อ่อนไหวกับสิ่งนี้มาก ผมมักจะบอกเขาเสมอว่าอย่าให้คนส่วนน้อยมาทำลายเขา มันยังมีคนอีกมากรักในสิ่งที่เขาทำอยู่ ผมเลยเอาสิ่งนี้มาพูดกับตัวเองบ้าง
พวกคุณมีแผนจะเล่นคอนเสิร์ตจากอัลบั้มนี้บ้างมั้ย
เราคิดจะทำคอนเสิร์ตทริบิวท์ให้กับ เชสเตอร์ แต่ไม่ได้เป็นการแทนที่เขานะ เพราะนั้นจะเป็นการไม่ซื่อสัตย์เกินไปและมันไม่ใช่เป้าหมายของเราในการทำเพลงกับเพื่อนๆครับ
สุดท้ายแล้ว คุณมีอะไรอยากจะพูดกับเชสเตอร์
เราคิดถึงนาย เรารักนาย และขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา
แปลโดย เอิร์ธ แอดมินเพจ Said and Sound และมือกีตาร์วง Wallrollers