รีวิวอัลบั้ม Taylor Swift - Midnights อย่าลืม ‘ตัวตน’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เสพย์สากลจะมารีวิวอัลบั้ม Midnights สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 10 ของ Taylor Swift เรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มที่กำลังทำสถิติยอดสตรีมมิงสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Spotify, Apple Music และ Amazon Music อยู่ในขณะนี้ โดยธีมหลักของ Midnights คือการเล่าเรื่องราวการเดินทางผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ และความฝันอันแสนหวานไว้ด้วยกัน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากค่ำคืนที่เทย์เลอร์นอนไม่หลับ จนกลายมาเป็น 13 บทเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้
Taylor Swift ถ่ายทอดความรู้สึกที่สะท้อนภาพรวมของอัลบั้ม Midnights ผ่านโซเชียลมีเดียถึงแฟนๆ ว่า เราต่างตื่นขึ้นมาท่ามกลางความรัก, ความกลัว, ความโกลาหลและน้ำตา บางครั้งเราก็ติดอยู่ในกรงขังที่สร้างขึ้นเอง เรื่องราวของการทำสิ่งที่ผิดพลาด การเผชิญกับปีศาจในตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเราจะตัดสินใจลุกขึ้นจุดตะเกียงและออกไปค้นหาตัวเองในที่สุด...พบกันตอนเที่ยงคืน (Meet me at midnight) เสมือนข้อความที่ส่งถึงแฟนๆ ว่าอย่าลืม ‘ตัวตน’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ในพาร์ทของดนตรีเห็นได้ชัดว่า Midnights กลับมาใช้เสียงอิเล็กทรอนิกส์/ซินท์ป็อปอย่างโดดเด่นอีกครั้ง หลังจากที่อัลบั้ม folklore และ evermore ใช้แต่เสียงกีตาร์แบบโฟล์ก โดยรวม Midnights ก็ยังคงรักษาความป็อบตามลายเซ็นเดิม บทเพลงเรียงร้อยต่อกัน ยังไม่ได้มีบทเพลงไหนที่โดดเด่นหรือฉูดฉาดออกมา แม้กระทั่งความคาดหวังที่จะได้ฟังเพลง "Snow on the beach" ซึ่งคอลแลปกับ Lana Del Rey ก็ยังถือว่าไม่ได้มีความโดดเด่น อีกทั้งยังเป็นการปล่อยเพลงทั้งหมดพร้อมกันทีเดียว เหมือนต้องการให้ฟังในรูปแบบอัลบั้ม มากกว่าการเลือกฟังเป็นซิงเกิ้ล
แต่ในส่วนของเพลงที่นำมาทำมิวสิกวิดีโอก็คือ "Anti-Hero" ที่เทย์เลอร์กำกับด้วยตัวเอง พร้อมกับซ่อน Easter Eggs ให้แฟนๆ ตีความกันจนหลายคนนำมาถอดรหัสถึงเรื่องราวที่ศิลปินซ่อนไว้ ทั้งประเด็นดราม่ากับ Kanye West และ Kim Kardashian ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาไม่จบสิ้นสักที สะท้อนอยู่ในฉากงานศพ หรือแม้กระทั่งการยอมรับเรื่องปัญหาสุขภาพและรูปร่างของตัวเองที่เธอต้องเผชิญระหว่างการเป็นศิลปิน การถูกวิจารณ์ และการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ จนกลายเป็นเทย์เลอร์ในวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีเพลง "Karma" ที่ผสมผสานเสียงกลอง กีตาร์ และซินธ์ พร้อมกับสร้างบรรยากาศแบบเปิดเผย เล่าเรื่องราวของ "กรรม" อันเป็นผลจากการกระทำที่ต้องดำเนินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด แฟนๆ เชื่อว่าบทเพลงนี้คือการกล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ลงรอยกัน โดยหวังว่าหากมองจากวิธีที่เธอโดนกระทำแล้ว ก็หวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้รับผลกรรมที่ก่อไว้เช่นกัน กรรมจะตามทันและมอบความยุติธรรมให้เธอ แต่ขณะเดียวกันก็ยังสามารถตีความไปถึงความสัมพันธ์แย่ๆ ที่วนลูปไม่มีที่สิ้นสุดได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ในพาร์ทบทเพลงที่สะท้อนธีมความฝันอันแสนหวานของเธอ ก็ยังมี "Sweet Nothing" ที่เขียนร่วมกับแฟนหนุ่ม Joe Alwyn ผู้ซึ่งใช้นามปากกาว่า William Bowery แฟนๆ มองว่านี่คือบทเพลงที่ทั้งคู่บรรยายชีวิตรักของตัวเองออกมา ความธรรมดาที่แสนพิเศษ แต่กลับเป็น safe zone ให้กันและกัน จนสามารถข้ามผ่านเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ โดยมีการบรรยายว่าแม้โลกภายนอกจะใจร้ายกับเธอแค่ไหน แต่ความเรียบง่ายที่แค่เห็นคนรักกำลังฮัมเพลงอยู่ในครัว ก็เป็นความอ่อนหวานที่สุดของเธอแล้ว
รวมถึงเพลง "Lavender Haze" ที่ได้แรงบันดาลใจจากละครโทรทัศน์ที่ชื่อว่า Mad Men ออกฉายราวปี 1950 ที่บรรยายความรู้สึกของการตกหลุมรักว่าราวกับมี ‘หมอกสีลาเวนเดอร์’ รายล้อมอยู่รอบตัว ที่แม้ในยุคนี้ใครจะมองว่าเชยหรือล้าหลัง แต่เธอก็ยังอยากจะตกอยู่ในบรรยากาศนั้นอยู่ดี (...The 1950s shit they want for me, I just wanna stay in the lavender haze...) ซึ่งเชื่อว่านี่ก็คืออีกหนึ่งบทเพลงที่กลายเป็นตัวแทนแสนโรแมนติก เล่าถึงความสัมพันธ์นานกว่า 6 ปี ระหว่างเทย์เลอร์และแฟนหนุ่ม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในพาร์ทดนตรีอาจมีแฟนๆ ที่มีความเห็นหลายแบบ ไม่ว่าจะชื่นชอบหรือรู้สึกธรรมดากว่าอัลบั้มที่ผ่านๆ มา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอกลักษณ์และจุดเด่นของ Midnights ก็ยังอยู่ที่ชั้นเชิงการเขียนเพลงของเทย์เลอร์ เทคนิคการเล่าเรื่องราว การใช้คำเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ที่ยังคงโดดเด่นอยู่เสมอ หากลองไปเปิดเนื้อหาเพลงแล้วสังเกตคำต่างๆ ที่ใช้ จะพบว่าภาษาของเธอมีความงดงามและเล่าเรื่องได้เห็นภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์
คะแนน: 4.5/5
รีวิวโดย: Tati