Sex Pistols วงผู้กล้าพูดถึงความชิบหายของสังคม
คงไม่ต้องถกเถียงกันมากมายว่า Sex Pistols น่าจะเป็นวงพังค์ร็อคที่โด่งดังและมิอิทธิพลที่สุดวงหนึ่งของโลก ซึ่งถามว่าวงดนตรีวงนี้ “มีเอกลักษณ์” อะไรที่จะทำให้ดังขนาดนั้นเหรอ? จะพูดถึงอิมเมจ เอาจริงๆ ก็ได้แรงบันดาลใจจากพวกวงอาร์ตร็อครุ่นก่อนหน้าของนิวยอร์คซะเยอะ
ในแง่ดนตรีนี่ก็เรียกได้ว่า ไม่มีอะไรแปลกใหม่ กลับไปหาการาจร็อครุ่นพี่แบบ The Stooges ซะเยอะ จะห้าวหาญทำเพลงแบบ “3 คอร์ด” ปราศจากโซโลกีต้าร์แบบที่ The Ramones ทำก็ไม่ใช่
นี่ทำให้เพลงของ Sex Pistols ก็ผิดแผกไปจากพวกวงพังค์ร่วมรุ่นของอังกฤษส่วนใหญ่พอสมควร เพราะยังติดร็อคแอนด์โรลอยู่มาก ยังไม่ฉีกไปหาความเรียบง่ายทางดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์พังค์มาจนถึงทุกวันนี้ ดังที่จะได้เห็นในงานแรกๆ ของวงอย่าง The Damned, The Clash, The Buzzcocks, The Adverts และอีกสารพัดวงที่ขึ้นชื่อว่า The ในสมัยนั้น
แม้ว่าจะ “ไม่ใหม่” เลยในทางดนตรีถ้าเทียบกับวงพังค์อังกฤษร่วมรุ่น แต่ Sex Pistols ก็ยังเป็นตำนานในช่วงอายุสั้นๆ ของวงที่ตั้งและแตกไปในช่วงปี 1975-1978
ดังนั้นประเด็นที่สำคัญมันอยู่ที่ทำไมวงอย่าง Sex Pistols ถึงดังได้ตอนนั้น และคำถามจริงๆ ของเราคือ จริงๆ เพลงที่ดูไม่มีอะไรในทางดนตรีเลยอย่าง "Anarchy in The UK" และ "God Saves the Queen" ถึงกลายเป็นเพลงฮิตในตอนนั้น และกลายเป็นเพลงร็อคระดับคลาสสิคได้
คำตอบอยู่ที่ “คีย์เวิร์ด” ในเนื้อเพลงของสองเพลงนี้ โดยเพลงแรกคือ “Anarchy” และเพลงที่สองคือ “No Future” ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าสองเพลงนี้บรรยายธีมของความเป็นพังค์ได้คลาสสิคจนทุกวันนี้ และนี่คือสิ่งที่วงอย่าง The Ramones จากฝั่งอเมริกาไปไม่ถึงกับเนื้อเพลงที่สนุกสนานเฮฮาของพวกเขา
ทำไมการพูดถึง “อนาธิปไตย” และความ “ไม่มีอนาคต” ถึงเป็นเรื่องจับใจที่ทำให้ Sex Pistols เป็นตำนานและโดดเด่นกว่าวงพังค์อื่นๆ
และที่สำคัญ ในกรณีของเพลง "God Saves The Queen" มันส่งให้พังค์ไม่ใช่ “เพลงนอกกระแส” แบบที่เป็นมาก่อน แต่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความขบถทั้งหลายทั้งมวลที่ไต่ชาร์ตซิงเกิลอังกฤษของ BBC ไปได้ถึงอันดับ 2 (ตำนานบอกว่า จริงๆ มันขึ้นที่ 1 แต่ “ผู้ใหญ่” สั่งให้กดลงมาเป็นอันดับ 2)
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ Pistols เด่นมันไม่ใช่ดนตรี แต่จริงๆ ที่ทำให้วงมันโดดเด่นกว่าวงอื่นมันคือ “เนื้อหา” ที่มันพูดถึง “ความล่มสลาย” ของสังคมอังกฤษ แบบที่ไม่มีใครพูดมาก่อนในป็อปคัลเจอร์ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า “ร็อคกระแสหลัก” ในอังกฤษ ช่วงต้นและกลางทศวรรษ 1970 นั้นพูดแต่เรื่อง “แฟนตาซี” ที่หลุดออกไปจากความจริงทั้งนั้น
แต่อะไรล่ะที่ “ล่มสลาย”? ไปถามนักร้อง Sex Pistols อย่าง Johnny Rotten ตอนนั้นถึงตอนนี้เขาก็คงจะไม่มีคำตอบที่เราพอใจ และก็คงจะตอบกวนตีนๆ กลับมา แต่ถ้าเรามองย้อนไป เราจะเห็นชัดเลยว่าสิ่งที่ “กำลังล่มสลาย” ในอังกฤษขณะนั้นคือ “รัฐสวัสดิการ” และ “ขบวนการแรงงาน”
ตรงนี้ถ้าไปดู “การเมืองอังกฤษ” เราจะเห็นเลยว่าช่วงปี 1974-1979 ซึ่งครอบคลุมช่วงที่เกิด “กระแสพังค์” ในอังกฤษเป๊ะๆ มันคือช่วงของรัฐบาลพรรคแรงงาน ก่อนที่พรรคนี้จะแพ้เลือกตั้งรัวๆ ยาวนานเกิน 10 ปี มันเกิดอะไรขึ้น?
ในทศวรรษ 1970’s “รัฐสวัสดิการ” ทั่วโลกเริ่มถูกตั้งคำถามว่ามันทำงานอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ เพราะในยุคนั้นรัฐสวัสดิการโตสุดๆ เก็บภาษีกระจุยกระจาย แต่ไม่ได้ให้บริหารประชาชนอย่างสาสมกับภาษี
ในอังกฤษ พรรคแรงงานในช่วง 1970’s ถูกมองว่าไม่ได้ทำให้ใครพอใจเลย แน่นอนฝ่ายอนุรักษ์นิยมเกลียดพรรคแรงงานอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดกัน แต่ฝ่ายขบวนการแรงงานเองก็ไม่พอใจการปกครองโดยพรรคแรงงาน เพราะช่วงปลาย 1970’s เศรษฐกิจอยู่ขาลง คนตกงานกระจาย
ในบรรยากาศแบบนี้ พรรคแรงงานทำอะไรก็ไม่เวิร์คไปหมด คนด่ารัฐบาลทั้งบ้านทั้งเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือชนชั้นแรงงาน และ Sex Pistols คือ “เสียงสะท้อน” ของอะไรพวกนี้ ที่ก็ต้องเข้าใจอีกว่ามันไม่มีมาก่อนในจารีตเพลงร็อคอังกฤษ ที่ตั้งแต่ยุคแรก ถ้ามันไม่พูดเรื่องความรัก ก็พูดเรื่องแฟนตาซี มันไม่พูดเรื่องชีวิตคนจริงๆ ที่ย่ำแย่
การพูดเรื่องชีวิตจริงๆ ที่ไม่สวยงามนักจึงเปรียบเสมือน “นวัตกรรมทางเนื้อหา” ในโลกเพลงสมัยนิยมของพวกพังค์อังกฤษแน่ๆ และสิ่งที่ทำให้ Sex Pistols โดดเด่นก็คือ การประกาศในเพลง ว่า “กูไม่เอาแล้วรัฐบาล กูจะเป็นอนาธิปไตย” หรือ “พวกมึงน่ะไม่มีอนาคตหรอก” และมันดันติดหูสุดๆ ด้วย
และจะเรียกว่า “ด้วยความเก็บกด” ก็ได้ คนอังกฤษไม่มีวงร็อคที่พูดถึงความหดหู่และชิบหายของสังคมแบบตรงๆ เลยมาก่อนแบบเป็นล่ำเป็นสัน มาเจอ Sex Pistols ประกาศแบบนี้เข้าไป ไม่รักก็เรียกได้ว่าเกลียดไปเลย เพราะสิ่งที่วงทำคือเล่นกับ “สิ่งต้องห้ามทางเนื้อร้อง” ในยุคอุตสาหกรรมดนตรี
แน่นอน ถ้าเราฟังปัจจุบัน เพลงดังๆ ของ Sex Pistols พวกนี้คือเพลง “ด่ารัฐบาล” ทั้งนั้น แต่ฟังในบริบทสมัยนั้น เพลงพวกนี้ที่มันฮิตมันตอกย้ำเลยว่า คนอังกฤษแม้แต่วัยรุ่นชนชั้นแรงงานอย่างพวกพังค์ก็ “ไม่เอารัฐบาลพรรคแรงงาน” แล้ว ดังนั้นพรรคแรงงานคือไม่เหลืออะไรแล้ว
ซึ่งผลก็มาตามนัด การเลือกตั้งในปี 1979 พรรคแรงงานก็แพ้เลือกตั้งถล่มทลายให้กับฝ่ายพรรคอนุรักษ์นิยม และรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ก็นำโดย Margaret Thatcher ที่ภายหลังกลายมาเป็นเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายอนุรักษ์นิยมของอังกฤษที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ดังนั้นถ้าจะสรุปทั้งหมด Sex Pistols ได้รับการพูดถึงขนาดนี้เพราะวงมันกล้าประกาศว่า “กูไม่เอาแล้วรัฐบาล” และ “พวกมึงไม่มีอนาคตหรอก” ในขณะที่มันไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ เน้นๆ ไม่อ้อมค้อมขนาดนี้ และมันก็เลยกลายมาเป็นสุนทรียภาพของเนื้อร้องเพลงพังค์เลยว่าจะต้องว่ากันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
นี่คือคำตอบว่าทำไมเพลงของ Sex Pistols
ถึง “โดนใจ” คนยุคนั้นได้ขนาดนั้น
มองย้อนไป แม้ว่าเพลงของ Sex Pistols จะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่วงมันเป็นภาพสะท้อนของความอึดอัดในยุคสมัยอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งในยุคนั้น คนมันก็คงเซ็งกันจริงๆ เพราะอัตราว่างงานก็ไต่ขึ้นเรื่อยๆ พอมาฟังเพลง ยุคนั้นมันก็มีแต่เรื่องราวชวนฝัน โครงสร้างเพลงซับซ้อน โซโลยืดยาว นักดนตรีแต่งตัวแบบหลุดออกมาจากเทพนิยาย
กล่าวคือแวดวงดนตรีมันมีทุกอย่างที่ไม่มีโนโลกความเป็นจริง ซึ่งในยุคที่ “บ้านเมืองดี” มันก็โอเค แต่ยุคที่เศรษฐกิจพัง ก็แน่นอนวัยรุ่นมันต้องการ “ปากเสียง” และในยุคก่อน Social Media ปากเสียงมันก็มาจากพวกบทเพลงนี่แหละ
และ Sex Pistols ก็เป็นเพียงผู้กล้าที่มาถูกที่ถูกเวลา ในยุคที่คนเบื่อการประดิษประดอยเรื่องราวและถ้อยคำหนีความจริงที่หดหู่ขึ้นทุกวันที่รัฐบาลบริหารประเทศได้พังไปเรื่อยๆ
นี่เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้เลยถ้าเรา “มองย้อนกลับไป”...แต่ถ้ามองดีๆ เราก็จะเห็นว่า “เรื่องตลกร้าย” มันไม่ใช่แค่ชนชั้นแรงงานในยุค Sex Pistols นั้นเบื่อรัฐบาลแรงงาน เท่ากับที่ว่ารัฐบาลใหม่ของ Margaret Thatcher นั้นยิ่ง “สร้างความชิบหาย” ให้กับชนชั้นล่างชาวอังกฤษแบบไปกันใหญ่ คือคราวนี้คนว่างงานกว่าเดิมอีก (อัตราว่างงานทะลุ 10% ในขณะที่สมัย Pistols แค่ประมาณ 5%) แถมสหภาพแรงงานต่างๆ ก็พังทลายเละเทะจนถึงทุกวันนี้
แต่ก็นั่นแหละครับ Johnny Rotten คงพูดถูกแล้วมาตั้งแต่ปี 1977 ว่า “พวกมึงมันไม่มีอนาคต” และถ้าใครรู้ประวัติเพลงนี้ก็จะรู้ว่าจริงๆ ตอนแรกมันไม่ได้ชื่อ God Save The Queen แต่มันชื่อว่า No Future ตรงๆ เลยครับ
Guest Writer: FxxkNoEvil