“ทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นยังไม่เคยทำ” PYRA ศิลปินรุ่นใหม่ที่อยากใช้ดนตรีเปลี่ยนโลก
ยุคของการฟังดนตรีแบบไร้พรมแดนได้เปิดโอกาสให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานเพลงได้อย่างมีอิสระและนอกกรอบมากขึ้น Pyra (ไพร่า) คือหนึ่งในบรรดาศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นและน่าจับตามองที่สุดของปีนี้ นอกจากจะทำงานเพลงแล้ว เธอยังดูแลเรื่องอาร์ตไดเรกชั่นและกำกับมิวสิกวิดีโอด้วยตัวเองอีกด้วย โดยนำทำนองซาวนด์ต่างๆ มาผสมกลมกลืนกับงานศิลปินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลายเป็นคอนเซปต์เหนือจินตนาการที่ยืนยันถึงความเป็นศิลปินมากพรสวรรค์
Pyra ถือว่าเป็นศิลปินไทยที่ได้รับความสนใจจากเวทีต่างประเทศเป็นอย่างมาก เธอเคยขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Burning Man ในสหรัฐอเมริกา และ Forest Jam ที่ญี่ปุ่น แถมยังคว้ารางวัลระดับนานาชาติต่างๆ จาก Apple Music, Joox และงาน Bangkok Music City
ปัจจุบัน Pyra เป็นศิลปินภายใต้สังกัด Warner Music (Thailand) และได้มีโอกาสทำงานกับ Sean Hamilton โปรดิวเซอร์ดีกรีแกรมมีที่เคยร่วมงานกับ Justin Bieber มาแล้ว ความโดดเด่นในงานเพลงครั้งนี้จึงอยู่ที่การผสมผสานความเป็นไทยและสากลเข้าด้วยกัน
ล่าสุดเธอได้ปล่อยผลงานเพลง 2 ซิงเกิ้ล ได้แก่ “Plastic World” และ “Dystopia” ที่มาในแนว Dystopian Pop โดยได้ใส่สัญลักษณ์ต่างๆ ที่สื่อถึงคติความเชื่อแบบเอเชีย เช่น ลายสักยันต์, นกปริศนา, พิธีกงเต๊ก และดวงตาของนาค นำมาผนวกกับดนตรีอิเล็กทริกส์แบบร่วมสมัยที่สร้างสีสันและความแปลกใหม่
เสพย์สากล ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Pyra ศิลปินที่กำลังมาแรงในขณะนี้ พร้อมพูดคุยถึงตัวตน มุมมองต่อสังคม รวมถึงเบื้องหลังการทำเพลงกับโปรดิวเซอร์ระดับโลก
ชีวิตในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นช่วงที่ทุกคนได้กลับมาคุยกับตัวเองมากขึ้น เพราะเรามีเวลาว่าง เชื่อว่าหลายคนที่ได้คุยกับตัวเองอาจจะเจอความดาร์กบ้าง เพราะเราเริ่มมาตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้มันใช่หรือเปล่า ในเมื่ออัลบั้มเราเสร็จแล้ว 20 เพลง เราไม่จำเป็นต้องเขียนเพลงใหม่แล้ว เพราะคงใช้เวลาอีก 2 ปีกว่าจะได้ปล่อยทุกอย่างค่ะ ก็เลยหันมาพัฒนาสกิลบางอย่างแทนละกัน ซึ่งสิ่งที่ได้มาในช่วงโควิดก็คือ Finger Drumming ค่ะ ปกติเราร้องเพลง เล่นกีตาร์ เล่นเปียโนได้อยู่แล้ว แต่ตีกลองจริงๆ ยังไม่เป็น ทางโปรดิวเซอร์ซึ่งก็คือคุณ Sean Hamilton เขาให้ launch pad เรามา ตอนนี้ไพร่าสามารถ live looping และ finger drumming ได้แล้วค่ะ เป็นสกิลที่อยากมีมานานมาก ในที่สุดก็ทำได้สักที (ยิ้ม)
มีความเห็นอย่างไรบ้างกับการจัด ‘คอนเสิร์ตออนไลน์’ ซึ่งดูน่าจะเป็นความหวังเดียวของแฟนๆ ในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา
โห! ไม่มีทางจะมาแทนที่คอนเสิร์ตจริงๆ ได้หรอกค่ะ สำหรับไพร่าแล้วรู้สึกเศร้ามากที่กลายเป็นแบบนี้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้เนอะ คอนเสิร์ตออนไลน์มันขาดประสบการณ์ร่วมค่ะ มันกลายเป็น 2 มิติไปแล้ว แต่การที่เราได้ไปคอนเสิร์ตจริงๆ น่ะ เราต้องการสัมผัสแบบ 5 มิติไง ยังไงซะคอนเสิร์ตออนไลน์เทียบกับคอนเสิร์ตจริงๆ ไม่ได้เลยค่ะ
ก่อนหน้านี้คุณมีโปรเจกต์ ‘Dark Secret’ ผ่านอินสตาแกรม โดยให้แฟนเพลงพูดถึงหรือแชร์อะไรก็ได้ที่มืดมน จุดเริ่มต้นโปรเจกต์นี้มีที่มาอย่างไร
เบื่อค่ะ (หัวเราะ) ก็คิดตลอดนะว่าจะ connect กับแฟนเพลงยังไงดี เพราะทุกคนมักบอกว่าเราเข้าถึงยาก ซึ่งพยายามทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น ประกอบกับช่วงโควิดคงเบื่อๆ ด้วย ถ้าจะทำ Ask me anything ในอินสตาแกรม คนคงเบื่อกันแล้ว เพื่อนเราก็คงไม่อยากมานั่งอ่านหรอก เลยคิดว่าควรถามอะไรที่ต่อให้คนไม่รู้จักกันเข้ามาดูก็รู้สึกสนุก แล้วได้โชว์ความเป็นศิลปินของตัวเองด้วย ก็เลยให้แฟนๆ เล่าเรื่องของเขาให้ฟัง แล้วเรานำ input ตรงนั้นมาแต่งเพลงละกัน เพราะยังไงเราก็เขียนเพลงได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ก็เลยออกมาเป็นคอนเทนต์นั้นค่ะ
กว่าจะกลายเป็นศิลปินที่ชื่อ Pyra อย่างทุกวันนี้ คุณเติบโตมากับการฟังเพลงแบบไหน
แจ๊สค่ะ ไม่ใช่ singing jazz นะ แต่คือ Kenny G เพราะคุณแม่ชอบฟัง เราก็โตมากับการฟังเพลงแบบนั้น ช่วงที่เลือกฟังเองได้ก็เลือกฟังเพลงป๊อบ Britney Spears นี่ชอบมากเลยค่ะ แต่พออายุ 16 ปีก็เริ่มโปรดิวซ์เพลงเอง คอร์สที่ไปสมัครเรียนตอนนั้นคือ Electronic Music Production ครูเลยสอนปูพื้นมาตั้งแต่กำเนิดของอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Aphex Twin อะไรแบบนี้มาเรื่อยๆ หลังจากนั้นเราก็เริ่มเข้ามาทาง EDM ชอบ Skrillex มากค่ะ ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ คิดว่าเขาเก่งมากในการสร้างสรรค์บางอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นี่คือจุดเริ่มต้นในการหลงรักดนตรีอิเลกทรอนิกส์ ทุกวันนี้ก็มีศิลปินแนวนี้ที่ชอบฟังค่ะ เช่น Bonobo และ Evil Needle
เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจมาเซ็นสัญญากับทาง Warner Music
ก่อนหน้านี้เคยเซ็นสัญญามาบ้างค่ะ แล้วก็ออกมาทำทุกอย่างเอง จ่ายเงินเอง ลงทุนเองทั้งหมด แต่ก็มีค่ายเสนอเข้ามาตลอด เพียงแต่ไพร่าคิดว่าเราจะต้องเป็นศิลปินที่แข็งแรงให้ได้ก่อน ซึ่งการตัดสินใจมาเซ็นสัญญาอีกครั้งกับทาง Warner Music ถือเป็นการยกระดับการทำงานอีกขั้น ทางค่ายก็ให้อิสระเต็มที่มากค่ะ ทั้งเรื่องการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ ให้อิสระเกิ๊น (หัวเราะ) ตอนแรกคิดว่าเราควรจะต้องประนีประนอมเพราะนี่คือค่ายใหญ่ แต่ปรากฏว่าไพร่าจะเอาอะไรได้หมดเลย บังคับกันหน่อยก็ได้นะ (หัวเราะ)
พูดถึงผลงานเพลงกันบ้าง ทำไมคุณถึงเลือกปล่อย 2 เพลงพร้อมกันเลย เพราะศิลปินส่วนใหญ่มักจะปล่อยทีละซิงเกิ้ล
คติประจำชีวิตศิลปินคือ “ทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นยังไม่เคยทำ” ซึ่งคนปล่อย 2 ซิงเกิ้ลพร้อมกันอาจมีแล้วแหละ แต่ไม่ทุกคน ไม่บ่อยด้วย ไพร่าเลยตัดสินใจปล่อย 2 เพลงเลยละกัน เพราะเรามีกระสุนอยู่ 20 เพลงอยู่แล้ว จะปล่อย 3 ก็ได้นะ แต่ปล่อย 2 อาจมี attention ที่กระชับกว่า เราอยากนำเสนอ ‘ขาว’ กับ ‘ดำ’ ที่แตกต่างกัน เหมือนไพร่าเห็นภาพ ‘หยิน-หยาง’ เวลาทำอัลบั้มค่ะ คิดว่าปล่อยคู่กันน่าจะเวิร์คกว่า ซึ่งเพลงที่ปล่อยก็คือ “Plastic World” และ “Dystopia”
“Plastic World” คือเพลงที่พูดถึงเรื่องอะไร สังเกตว่าเพลงนี้มีความป๊อปโดดเด่นมาก
พูดถึงเรื่อง ‘ทุนนิยม’ ค่ะ ทำไมความสุขของเราถึงโดนเทคโนโลยีบิดเบือนไปขนาดนี้ เราเลยรู้สึกว่ามัน ‘พลาสติก’ ก็เลยคิดถึงการทำอะไรก็ได้ที่ต้องการทำให้มันออกมาเฟคที่สุด เช่น เพลงนี้จะทำยังไงก็ได้ให้มันไม่ใช่ตัวเองที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้ไม่ใช่ไพร่า เพราะไพร่าไม่มีทางทำเพลงป๊อปสายคิกขุขนาดนี้อยู่แล้ว ก็ออกมาเป็นเพลงนี้ ทางด้านโปรดิวเซอร์ก็ช่วยคราฟต์เสียงให้เป็นสุดยอดป๊อปเลยค่ะ ปกติเราไม่ใช่สาย candy pop แต่ที่ทำเพลงนี้ก็เพราะต้องการสื่อความหมายของคำว่าพลาสติก สื่อออกไปว่านี่ไม่ใช่ตัวเรานะ
ความเป็นมาและแรงบันดาลใจของเพลง “Dystopia” ล่ะ
อารมณ์ประมาณวันสิ้นโลกค่ะ เป็นแบบ Post Apocalypse ซึ่งเราทำเพลงนี้ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว คิดไว้ว่ายังไงซะวันนี้ต้องมาถึง วันที่ดาร์กมากๆ และก็ไม่คิดว่ามันจะปล่อยออกมาในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่มีกระแสวันสิ้นโลกพอดี (ชาวมายาทำนายวันสิ้นโลกว่าคือวันที่ 21 มิถุนายน 2020) ความจริงแล้วเวลาที่เราดูหนัง Sci-Fi เช่น Blade Runner จะมีรถยนต์ที่บินได้ เมืองมีความ neon city ที่ดูเหมือนมันอาจจะเกิดขึ้นในอีก 100-200 ปีข้างหน้า แต่ความจริงแล้วยุค Dystopia ก็คือตอนนี้นี่แหละค่ะ เราอาจไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงแล้ว
คุณบอกว่าได้ทำเพลงเก็บไว้แล้วถึง 20 เพลงที่เตรียมปล่อยเป็นอัลบั้มเต็ม การกระโดดจากการทำซิงเกิ้ลมาทำอัลบั้ม ต้องเจอกับความท้าทายอะไรบ้าง
เจอความท้าทายตรงที่เราเป็น Bedroom Producer แต่ต้องมาเจอทีมที่ใหญ่มากๆ ในการทำเพลง ซึ่งคน introvert แบบเราก็ต้องปรับตัวค่ะ เพราะเป็นคนทีมเวิร์คไม่เก่ง รู้สึกว่าทำคนเดียวสะดวกกว่า แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็นทีมเพลเยอร์ บางที input คนนี้อาจจะดีกว่าเรา เราก็ต้องฟังเขานะ ยอมๆ ทุกคนบ้าง เพราะเรารู้ว่าคนที่มาทำงานกับเราน่ะเก่งกว่าเราในฟิลด์ของเขา อันนี้คือจุดที่ต้องทำความเข้าใจ ถือเป็นความท้าทายใหญ่สุดค่ะ
โปรดิวเซอร์ Sean Hamilton มีบทบาทอย่างไรกับอัลบั้มชุดนี้
Sean สำคัญมากเลยค่ะ เราต้องการจะทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ก็คิดอยู่ว่าซาวนด์ในอัลบั้มใหม่จะทำยังไงให้มีคาแรกเตอร์และมีซิกเนเจอร์ของไพร่าที่คนอื่นไม่มี เลยบอกฌอนว่าฉันเป็นคนเอเชียที่อยากจะนำเสนอความเอเชียและความเป็นไทยออกไปผ่านซาวนด์ที่คนรับได้ทั้งโลก ไม่ว่าอายุเท่าไรก็ตาม มันคือเพลงป๊อปที่มีวัตถุดิบอะไรบางอย่างของเอเชีย เขาก็ตีโจทย์แตกมากๆ ออกมาทันสมัยสุดๆ เลยค่ะ
คิดอย่างไรกับแนวคิดที่ว่า “การแต่งเพลงเองคนเดียวจะทำให้แสดงตัวตนและอารมณ์ออกมาได้ดีกว่า”
แล้วแต่คนค่ะ ความจริงไพร่าก็ชอบนะการแต่งเพลงคนเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรา move on จากสเต็ปนั้นไปแล้ว มันคือเกมที่ใหญ่ขึ้น เราต้องเล่นเกมกับคนอื่นให้เป็น อย่างอัลบั้มของไพร่าเขียนกันเป็นทีมค่ะ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจทำไมต้องเขียนเพลงเป็นทีม แต่ให้มันถูกตามกฎหมาย ไม่ว่าใครจะอยู่ในห้องนั้น เราต้องให้เขาได้เครดิต นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำ บางทีเราเห็นเพลงของ Kanye West ที่มีคนเขียนถึง 12 คน ซึ่งก็คือเรื่องของเครดิตอะไรแบบนี้ค่ะ
ตอนนี้การทำเพลงสไตล์ bedroom เริ่มกลายเป็นเพลงกระแสหลักมากขึ้น คุณมีมุมมองอย่างไรต่อประเด็นนี้ คิดว่าเพลงที่คุณภาพดีที่สุดยังต้องทำในสตูดิโอมั้ย
ไพร่ารู้สึกว่ามันไร้สาระมากๆ คือเพลงที่ดีสำหรับไพร่าก็คือเพลงที่ทำให้คนรู้สึกอะไรบางอย่างได้ ไม่ว่าคุณจะสกิลร้องเพลงดีแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่สามารถ move crowd หรือทำให้คนดูข้างล่างรู้สึกอะไรได้ มันไม่มีประโยชน์ สำหรับไพร่าแค่นั้นเลยค่ะ จะทำที่ไหนก็ได้ ถ้าบอกว่าต้องทำในสตูดิโอใหญ่ก็เหมือนไปดูถูกว่าต้องเป็นคนรวยอย่างเดียวหรือที่จะทำได้ ซึ่งไม่ใช่เลย ใครๆ สามารถทำแบบไหนก็ได้ คนที่มาบ่นเรื่องนี้อาจเป็นคนรุ่นเก่าที่กลัวเด็กรุ่นใหม่มากกว่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางของการเป็นศิลปินมันต้องเดินท่ามกลางสปอตไลท์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมันคนจับจ้อง คุณมีความกังวลอะไรมั้ย
ก็เหมือนทุกคนอ่ะค่ะ ทุกคนมีด้านที่เข้มแข็งและด้านที่อ่อนแอ แต่เราต้องเลือกที่จะโฟกัสด้านที่แข็งแรงมากกว่า ปัญหาบางอย่างเป็นปัญหาในอดีตของเราที่แก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว เช่น การเติบโต ทุกอย่างๆ ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราควบคุมได้ก็คือปัจจุบันและอนาคต เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ อย่างเดียวที่เราควบคุมได้คือตัวเอง ซึ่งปัจจัยเราที่เราควบคุมได้คงเป็นการกระทำ วิธีคิด และวิธีตอบสนอง สมมติคนอื่นโยนอะไรที่ negetive มาให้เรา เราไม่จำเป็นต้องโยน negative กลับไป ไพร่าเคยทดลองนะคะ สมมติอยู่ดีๆ มีคนมาด่าเราเฉยเลยอ่ะ เราก็ตอบกลับว่า “It’s OK, I still love you anyway” คนนั้นช็อก เขารู้สึกผิด ไปไม่เป็นเลยค่ะ
พูดถึงไลฟ์สไตล์ทั่วไปบ้าง คุณมีหนังโปรดหรือเพลงที่ฟังอยู่ในช่วงนี้มั้ย
ไพร่าไม่ค่อยดูหนัง แต่ชอบดูการ์ตูน ‘อนิเมะ’ มาก คิดว่าเรื่องที่ทำได้ดีที่สุด 3 อันดับ คือ Death Note, Attack on Titan และ Hunter x Hunter ซึ่งอนิเมะน่าจะส่งผลต่อการทำเพลงหรือแฟชั่นของเราบ้างเหมือนกันนะ มีอิทธิพลโดยไม่ได้คาดคิด (ยิ้ม) เพราะเราซึมซับมาตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่ดูการ์ตูนญี่ปุ่นมาตลอด ส่วนเพลงเหรอ? ไพร่าเป็นคนที่ฟังเพลงครั้งเดียว ไม่ค่อยฟังซ้ำ คือจะฟังเพื่อศึกษา ช่วงนี้มีเทรนด์อะไรใหม่ ซาวนด์อะไรใหม่ หรือมีใครเป็นศิลปินใหม่บ้าง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเทรนด์ใหม่ของดนตรีตอนนี้น่าจะเป็น lo-fi นะ ที่จริงก็มีมาสักพักแล้ว น่าจะอยู่ไม่เกิน 2 ปี เดี๋ยวกระแสก็น่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
เป้าหมายสูงสุดในฐานะศิลปินของคุณคืออะไร
คงต้องตอบเหมือนเดิมอีกแล้ว คืออยากเปลี่ยนโลกค่ะ ความจริงทุกคนเปลี่ยนโลกได้ แต่เราเกิดมาแล้วเราอยากทำดนตรี เพราะฉะนั้นเราอยากใช้อาวุธของเราในด้านนี้ลองเปลี่ยนโลกดู ถ้าไพร่าเกิดมาเก่งคณิตศาสตร์ คงใช้คณิตศาสตร์เปลี่ยนโลก แต่ตอนนี้รู้สึกว่าดนตรีเป็นสิ่งที่เราอยากทำ มันคือสิ่งที่เราถนัดและเก่งที่สุด งั้นขอเอาสิ่งนี้มาเปลี่ยนโลกละกัน
คำว่า ‘ดนตรีเปลี่ยนโลก’ ในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร
ทำให้มันดิสโทเปียน้อยลงค่ะ ทำให้มันมีความพลาสติกน้อยลง ความจริงมีนักดนตรีหลายคนที่เคยเปลี่ยนโลกไปในทางที่ดีขึ้นได้นะ เช่น The Beatles ถ้าไปดูหนังสารคดีจะเห็นว่าเขานำเทรนด์กระแสฮิปปี้แบบรักษ์โลก ทำให้คนมี free spirit มากขึ้น มันมีอะไรแบบนั้นมีตลอด หรือแม้แต่ Marilyn Manson ก็มีวิธีของเขา มันอาจไม่ใช่ดนตรีเปลี่ยนโลกซะทีเดียว แต่มันคือคนที่มีอิทธิพลมากๆ ซึ่งดนตรีเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีอิทธิพลค่ะ
Story By: ตติ