Valentina Ploy ศิลปินป๊อบ-โฟล์ก ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยทัศนคติและพลังดนตรี
ใครจะไปคิดว่าศิลปินหญิงท่าทางมั่นใจ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสอย่าง ‘Valentina Ploy’ จะเคยเป็นเด็กผู้หญิงขี้อายที่ไม่กล้าแม้แต่พูดคุยกับคนอื่น แต่ในวันนี้เธอกลายเป็นศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งของวงการเพลง
Valentina Ploy หรือ พลอย-วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ศิลปินเชื้อสายไทย-อิตาเลียน เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกจากการร้องเพลงในรายการ The Voice Thailand Season 6 ด้วยเพลง “In The End” ของวง Linkin Park หลังจากนั้นก็ได้รับความสนใจอีกครั้งในบทบาทนางงาม จากการเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018
แต่ตอนนี้เธอได้ก้าวเข้ามาสู่บทพิสูจน์ครั้งใหม่ในฐานะศิลปิน สังกัดค่ายเพลง What The Duck กับอีพีอัลบั้มชุดแรกในชีวิต ‘Satellite’ ซึ่งมีหลายผลงานเพลงที่ถูกเลือกให้อยู่ในเพลลิสต์ It’s a hit! ของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงชื่อดัง ร่วมกับศิลปินอย่าง Taylor Swift, Ed Sheeran, Ariana Grande และ Shawn Mendes
เสพย์สากลได้มีโอกาสพูดคุยกับ Valentina Ploy ทำให้สัมผัสได้ว่าอีพีอัลบั้มชุดนี้ไม่ได้บอกเล่าแค่เรื่องราวของดนตรี แต่ยังทำหน้าที่ในการจดบันทึกชีวิต ความรัก ความรู้สึก และความฝันของศิลปินคนนี้อีกด้วย เปรียบดั่งไดอารี่ส่วนตัวของเธอที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทำนองดนตรีที่เต็มไปด้วยสีสันและความสดใส
เล่าที่มาของชื่ออีพีอัลบั้มให้ฟังหน่อย ทำไมถึงชื่อว่า ‘Satellite’
เพราะมีแทร็กหนึ่งที่ชื่อว่า “Satellite” ค่ะ เป็นเพลงเดียวในอีพีอัลบั้มชุดนี้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวพลอยคนเดียวเลย พลอยพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองคิดและสื่อถึงคนฟัง คำๆ นี้แปลว่า ‘ดาวเทียม’ พลอยเปรียบเทียบตัวเองกับดาวเทียม เพราะเมื่อก่อนเราเป็นคนขี้อายมาก อยู่ในที่ไกลออกไป เรียกว่าห่างไกลจากวงการเพลง ไม่ได้เป็นจุดสนใจอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งได้มาเป็นจุดสนใจ
เพลงนี้จึงต้องการสื่อว่าตอนนี้พลอยโอเคแล้วนะ เพราะมีเธออยู่เคียงข้างฉัน ซึ่งก็คือคนที่สนับสนุนพลอยนั่นเอง เพลง “satellite” จึงกลายมาเป็นชื่ออีพีอัลบั้มที่บอกเล่าการเดินทางของพลอยมาจนถึงปัจจุบันนี้ บางครั้งเวลารู้สึกเหงาๆ หรือทำอะไรในชีวิตไม่ว่าจะทุ่มเทไปเท่าไรก็ยังไม่พอสักที ชีวิตมันกลับมาตบหน้าเรา พลอยก็เขียนเล่าทุกความรู้สึกออกไปหมดเลยค่ะ
บ่อยมั้ยที่รู้สึกว่าพยายามทำอะไรสักอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่สำเร็จสักที
บ่อยค่ะ มีตลอดเลย (ยิ้ม) พลอยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ขยันระดับหนึ่งแล้วนะ แต่บางครั้งมันก็รู้สึกเหนื่อยกับการเจอช่วงเวลาที่ต่อให้ทำมากแค่ไหน ก็ยังไม่พอสักที จนบางทีก็รู้สึกเครียด แต่พลอยเอาชนะความรู้สึกนั้นด้วยการ “ทำต่อไปค่ะ ไม่ยอมแพ้” รู้สึกว่าได้ท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สำหรับเพลงในอีพีอัลบั้มชุดนี้ คิดว่าเพลงไหนมีความ ‘ส่วนตัว’ มากที่สุด
ส่วนตัวทุกเพลงค่ะ เป็นการเล่ามุมมองในทุกๆ ด้านของชีวิตพลอยออกมา โดยเฉพาะ “More Than Gold” เป็นเพลงที่แต่งให้พ่อและแม่ ส่วนตัวที่สุดในโลกเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่เราต้องจากบ้านไกลขนาดนี้ ต้องทำตามความฝัน บางทีพ่อแม่เป็นห่วง เราก็รู้สึกคิดถึงบ้าน คำพูดที่พ่อแม่เคยสอนเราถูกสื่อออกมาผ่านเพลงนี้ มันคือความรู้สึกที่บอกว่าพ่อแม่คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าทอง นอกจากนี้ก็ยังมีเพลงแทนเรื่องราวชีวิต ความรัก แฟนเก่า ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวพลอย เรียกว่าอีพีอัลบั้มชุดนี้คือการเปิดไดอารีตัวเองให้คนอื่นดูเลยทีเดียว
เพลงไหนที่แต่งได้เร็วและช้าที่สุดในอัลบั้ม
เร็วที่สุดน่าจะเป็น “See You In Life” ตอนนั้นร้องไห้อยู่ที่อิตาลี เขียนออกมาหมดเลยทั้งเพลงเลย แล้วมาทำเพลงที่เมืองไทย ส่วนถ้าช้าสุดน่าจะ “More Than Gold” สำหรับการแต่งเพลง บางครั้งพลอยก็เขียนเนื้อเพลงไว้ก่อน บางครั้งทำนองเพลงก็มาก่อน เพราะเวลาแต่งเพลงมันคือการพูดออกมาตรงๆ อย่างที่คิดเลย ทุกอย่างที่เขียนคือทุกอย่างที่อยู่ในหัว เหมือนกำลังพูดกับใครสักคน แต่ทำให้การพูดนั้นออกมาเป็นทำนอง
มีหลายเพลงที่พูดถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ในอดีต สิ่งเหล่านี้มีผลต่อชีวิตพลอยมาก-น้อยแค่ไหน
สุดท้ายมันก็สำคัญนะคะ แต่ต้องเป็น Healthy Relationships ไม่ใช่ Toxic Relationship เป็นเรื่องที่ดีหากเรามีความสุขด้วยตัวเอง แล้วยังสามารถแชร์สิ่งนี้กับคนอื่นได้ด้วย เป็นอะไรที่สวยงามมาก พลอยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายเลย เรื่องราวความรักในแต่ละเพลงคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับพลอยจริงๆ ความรู้สึกเหล่านั้นถูกระบายออกมาผ่านบทเพลง
‘Healthy Relationships’ ในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร
เป็นความสัมพันธ์ที่มอบพลังงานดีๆ ให้แก่กัน สร้างความสมดุลระหว่างความสบายใจและความท้าทาย ไม่มีใครที่ดึงอีกคนลงมาให้รู้สึกไม่ดี คนสองคนต้องได้พัฒนาและเรียนรู้กันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกสบายใจอยู่ แต่ก็ไม่ใช่สบายเกินไปจนไม่ทำอะไรเลยนะ
พูดถึงความสัมพันธ์และจุดเริ่มต้นของคุณกับดนตรีบ้าง
จำได้ตอนเด็กๆ เวลาแม่ขับรถไปส่งที่โรงเรียนก็จะฟังเพลงทุกเช้าและก็ร้องตาม พลอยเรียนไวโอลินตั้งแต่เด็ก เริ่มชินกับดนตรีและโน้ตอยู่แล้ว เริ่มเขียนเพลงตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นคนขี้อายมากกกก (ลากเสียงยาว) เลยรู้สึกว่าเราแสดงออกผ่านการเขียนได้ดีกว่าการพูด แม้ว่าตอนนี้พลอยจะพูดได้สบายๆ แต่ตอนเด็กๆ ไม่อยากคุยกับใครเลยค่ะ ไม่รู้จะพูดยังไง เขินไปหมด ไม่มั่นใจในตัวเอง จึงเริ่มกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพลอยและดนตรีมาตั้งแต่นั้น จนกลายเป็นงานพลอยในตอนนี้
ใครคือศิลปินที่มีอิทธิพลต่อการฟังเพลงมากที่สุด
Linkin Park ค่ะ (ตอบทันที) วันที่ Chester Bennington เสียชีวิต พลอยร้องไห้เสียใจ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่บ้านยายที่ จ.นครราชสีมา เปิดไอจีและเฟซบุ๊กเห็นข่าวคือช็อกมาก No! มันจะไม่มีเพลงจากเขาอีกแล้วเหรอ รู้สึกเศร้า แต่เราก็รู้สึกเห็นใจในสิ่งที่เชสเตอร์ต้องเผชิญ ถ้าสังเกตคือทุกเพลงที่เขาเขียนมันสื่อถึงความเศร้า ทุกอย่างพังหมดเลย เสียใจมากค่ะ ตอนที่ Mike Shinoda มาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทย พลอยนั่งวินฯ ไปดูคอนเสิร์ตคนเดียวเลย ไปหาเพื่อนใหม่ที่นู้น
คิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า “ศิลปินมักมีแนวโน้มซึมเศร้าได้ง่าย”
แล้วแต่คนค่ะ ความจริงก็ไม่ใช่แค่ศิลปินหรอกที่เสี่ยงซึมเศร้า แต่ศิลปินเขาอาจจะจมลงในความรู้สึกของตัวเองได้ลึกมากๆ กว่าจะเขียนเพลงออกมา ซึ่งถ้ามองในอีกมุมหนึ่งศิลปินมีวิธี save ตัวเองมากกว่าคนอื่นนะ ส่วนตัวพลอยถ้าไม่มีดนตรี ก็อาจมีมุมที่เศร้ากว่านี้ ไม่รู้จะระบายออกยังไง แต่เมื่อได้เขียนเพลงต่อให้เราเจอสิ่งที่เลวร้ายมากแค่ไหน เราก็ยังสร้างสิ่งสวยงามออกมาได้ สิ่งที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เรา คิดว่านี่คือวิธีระบายของศิลปินค่ะ
ได้ยินมาว่าก่อนจะกลายเป็น ‘Valentina Ploy’ ในวันนี้ เคยโดนล้อเรื่องรูปร่างหน้าตามาก่อน
ต้องบอกก่อนว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่มั่นใจเพราะสมัยเด็กๆ ตอนอยู่ที่อิตาลี เคยโดนเพื่อนแกล้ง เพราะพลอยสิวเต็มหน้า ผอมมาก เพื่อนล้อว่าหุ่นเหมือนตะเกียบ ไม่มีเชป เวลายิ้มก็หน้าตาดูแปลกๆ ขี้เหร่ที่สุด ไม่ค่อยมีความมั่นใจ แต่ลึกๆ แล้วเราเป็นคนสู้มาก สู้ตายกับทุกอย่าง ช่างแม่-ง ใครจะว่าอะไรช่าง มันไม่สำคัญว่าเขาจะว่าไง เพราะมันไม่ได้มาเปลี่ยนอะไรในชีวิตเราสักหน่อย ทำไมต้องมาเศร้าเวลาที่คนอื่นบอกว่าเราหน้าตาไม่ดี เราเกิดมามีครบทุกอย่างก็โชคดีมากแล้ว พยายามฝึกคิดบวกตลอดเวลาค่ะ
ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าตัวเองเป็นเด็กขี้อายมากๆ อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มมีความมั่นใจและตัดสินใจไปประกวดมิสยูนิเวิร์สฯ ก่อนจะมาเป็นศิลปิน
อย่างตอนไปประกวด The Voice Thailand พลอยยังขี้อายอยู่นะ ตัวสั่น ควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ แล้วหน้าตาก็เครียดมาก (หัวเราะ) แต่มาคิดว่าเราชอบดนตรีขนาดนี้ แล้วมันเป็นปัญหาเมื่อเรายืนบนเวที ฉันต้องหายขี้อายให้ได้ เลยเริ่มไปเรียนการแสดง ทำให้ชินกับการแสดงออกต่อหน้าคนอื่น ช่วยได้เยอะมากค่ะ ถ้าไม่ได้ไปเรียน คงไม่กล้าไปประกวดมิสยูนิเวิร์สฯ พลอยเป็นคนชอบทำงานอาสาสมัคร คิดว่าถ้าประกวดเวทีนี้จะมีแพลตฟอร์มให้เราได้พูดอะไรออกไป แล้วมีคนฟังมากขึ้น สามารถต่อยอดสิ่งที่ทำอยู่ได้ แต่พลอยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ววงการนางงามมันซีเรียสขนาดนั้น คือทุกคนต้องมีทีม นางงามเป็นเหมือนตุ๊กตาที่ต้องสวยตลอดเวลา หนูไม่มีไอเดียนั้นอยู่เลย ตอนไปสมัครก็แต่งตัวเหมือนไปสมัครงาน (หัวเราะ)
แล้วจากนางงามมาเป็นศิลปินล่ะ กังวลมั้ยในเรื่องของการพิสูจน์ตัวเอง
เหมือนเราต้องทำทุกอย่างให้ดีกว่าเดิม 3 เท่าในการเป็นศิลปิน ไม่งั้นคนอื่นจะมองว่ายูเป็นนางแบบเหรอ เป็นนางงามเหรอ จะทำได้จริงมั้ย หน้าตาแบบนี้เคยประกวดนางงามมานี่ เขาจะตีตราอะไรเราบางอย่าง พลอยแอนตี้เรื่องพวกนี้นะ เราไม่ควรจะไปตัดสินหรือแปะป้ายภาพจำให้ใครไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม มนุษย์มีมุมต่างๆ ตั้ง 360 องศา นางงามเป็นพาร์ทหนึ่งของชีวิต ถ้าย้อนเวลากลับไปใหม่พลอยก็จะทำแบบเดิม แต่ดนตรีคือสิ่งที่อยู่กับพลอยมาตลอด รู้สึกว่าทางนี้คือทางที่ใช่สำหรับเรา ถามว่าถ้าไม่เป็นนางงามแล้ว ชีวิตอยู่ได้มั้ย อยู่ได้! แต่ถ้าไม่มีดนตรี…พลอยอยู่ไม่ได้
ยังจำความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงของตัวเองจากแพลตฟอร์มต่างๆ ได้มั้ย
ตอนแรกรู้สึกแปลกๆ นะที่ต้องฟังเพลงของตัวเอง เป็นอะไรที่เราเขียนมาจากสมองเรา จากใจเรา แล้วทุกคนได้เห็น มันเขินนิดนึง (ยิ้ม) แต่เป็นอะไรที่มีความสุขมาก เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการมาตลอด จากคนขี้อายที่ได้มาทำเพลงตรงนี้เพราะมีความรัก มีแพสชั่น มีสิ่งที่อยากจะแชร์กับคนอื่น วันหนึ่งได้ฟังเพลงของตัวเอง ทำให้ตอนนี้ความฝันสูงสุดของพลอยคืออยากจะทำเพลงให้ไปถึงคนฟังให้เยอะที่สุดเลยค่ะ
ในฐานะศิลปินหญิง มีความคิดอย่างกับประเด็นที่ศิลปินผู้หญิงมักถูกวิจารณ์เมื่อได้ก้าวขึ้นเป็น headliner ในเทศกาลดนตรีนานาชาติ หรือแม้แต่การได้รับค่าตัวในอัตราที่น้อยกว่าศิลปินผู้ชาย
What! No! เป็นไปไม่ได้ค่ะ พลอยคิดว่านี่คือแนวคิดที่โบราณมาก เหมือน 2,000 ปีที่แล้วมั้ง ทุกวันนี้พลอยคิดว่าควรมีศิลปินหญิงได้ขึ้นเป็น headliner ให้มากขึ้น เพราะผู้หญิงไม่ได้ด้อยกว่าผู้ชายตรงไหนเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพลอยถึงเขียนและทำเพลงขึ้นมา อาจจะฟังดูเป็น feminist song นะ เพราะพลอยรู้สึกไม่โอเคมากกับสิ่งนี้ และรู้สึกว่าผู้หญิงเวลาจะทำอะไรก็ถูกตัดสินว่าไม่เท่าเทียมกับผู้ชายสักที พลอยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันต้องเปลี่ยนความคิดนี้ พลอยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น แต่ไม่มีใครตอบได้ ถ้ามีศิลปินหญิงที่ได้เป็น headliner พลอยจะแฮปปี้มาก
แสดงว่าในแต่ละบทเพลง คุณต้องการสื่อสารข้อความบางอย่างออกไปด้วย
ใช่ค่ะ แน่นอน การเป็นศิลปินไม่ใช่แค่ชอบร้องเพลง ถ้าอย่างนั้นพลอยคงร้องอยู่ที่บ้านคนเดียว สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่พลอยทำ ก็แค่อยากทำสิ่งดีๆ ได้แชร์สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ว่าจะการร้องเพลงหรือการไปประกวดนางงาม ทุกสิ่งที่ทำคือต้องการให้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ ดนตรีเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในโลกนี้ ซึ่งศิลปินสามารถใช้วิธีนี้ในการสื่อสารสิ่งดีๆ ได้เยอะแยะเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฟมินิสต์ หรือเรื่องอะไรก็ได้
ปิดท้ายด้วยไลฟ์สไตล์ทั่วไป คุณได้ฟังเพลงหรือดูหนังอะไรบ้างในช่วงนี้
ช่วงนี้ฟัง Bruno Major ค่ะ มีเพลงหนึ่งเพราะมาก ชื่อว่า “Tapestry” พลอยชอบมาก ชอบการเขียนเพลงของเขา และก็ได้ฟังเพลงใหม่ของ HAIM วงที่เป็นพี่น้องผู้หญิงสามคน ชอบเพลง “Now I’m In It” รู้สึกว่าตัวเองกำลังชอบฟังซินธ์ป๊อป ประมาณว่า HAIM, LANY, The 1975 เพลงที่มีจังหวะกลองเยอะๆ การฟังดนตรีคือการทดลองและค้นหาตัวเองในสไตล์ใหม่ๆ เช่นกันค่ะ ในอนาคตอยากลองทำเพลงที่ฉีกออกมาจากแนวอะคูสติกบ้าง
ส่วนหนังเรื่องที่ดูล่าสุดน่าจะเป็น ‘The Boy Who Harnessed The Wind’ สร้างมาจากหนังสือ คือดีมาก เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายที่แอฟริกาที่เขาสร้างกังหัน เพื่อสร้างพลังงานให้หมู่บ้าน เพราะรัฐบาลตัดขาดทุกอย่าง เขาเป็นแค่เด็กที่อ่านหนังสือแล้วทำได้จริงๆ พลอยดูแล้วรู้สึกมีพลังและร้องไห้หนักมาก ส่วนหนังเรื่องโปรดต้องยกให้ ‘About Time’ หนังรักย้อนเวลา ดีมากค่ะเรื่องนี้ แต่ถ้ามองในชีวิตจริงแล้วสำหรับตัวพลอยเอง คิดว่าเราไม่มีอะไรที่อยากแก้ไขค่ะ ต่อให้ย้อนเวลาได้ ก็คงไม่มี ไม่แก้ ผิดพลาดหรือพังแค่ไหน ก็ไม่แก้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีแย่แค่ไหน สุดท้ายมันทำให้เรากลายเป็นเราในทุกวันนี้ค่ะ
Story By: ตติ